เมื่อเวลา 15.34 น. ของวันที่ 2 มีนาคม 2025 ยานอวกาศ Blue Ghost ภารกิจที่ 1 ของบริษัท Firefly Aerospace ประสบความสำเร็จในการลงจอดใกล้กับภูเขา Mons Latreille บริเวณด้านใกล้ของดวงจันทร์ เป็นยานอวกาศลำแรกของบริษัทเอกชนที่เดินทางไปลงจอดบนดวงจันทร์อย่างนุ่มนวลได้สำเร็จ
ไม่นานหลังจากนั้น ยานได้ถ่ายภาพและข้อมูลกลับโลกมาอย่างต่อเนื่อง และพร้อมนำอุปกรณ์ทดลองเพื่อศึกษาบริเวณโดยรอบจุดลงจอด เช่นเดียวกับการสาธิตเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่อาจต่อยอดไปปรับใช้กับภารกิจสำรวจดวงจันทร์โดยมนุษย์ในอนาคต
ก่อนหน้านี้มีความพยายามโดยยานอวกาศของบริษัทเอกชนอิสราเอล ญี่ปุ่น รวมถึงของสหรัฐฯ แต่ต่างจบลงด้วยความล้มเหลวทั้งหมด แม้กระทั่งยานอวกาศ Odysseus ของบริษัท Intuitive Machines ที่ไปลงดวงจันทร์ได้สำเร็จเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2024 แต่กลับเอียงตะแคงข้างหลังลงจอดได้ไม่นาน จนไม่สามารถทำภารกิจได้เต็มรูปแบบตามแผนการที่วางไว้
สิ่งที่น่าสนใจจากการลงจอดของยาน Blue Ghost และรวมถึงยาน Odysseus คือทั้งสองภารกิจเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Commercial Lunar Payload Services หรือ CLPS ของ NASA ที่มีการมอบสัญญาจ้างมูลค่า 93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้บริษัท Firefly Aerospace พัฒนายานอวกาศ เพื่อขนส่งอุปกรณ์ทดลองของ NASA และหน่วยงานต่างๆ ลงไปปฏิบัติงานบนดวงจันทร์
โครงการ CLPS ไม่ได้มีการมอบสัญญาให้กับเอกชนเพียงบริษัทเดียว โดยปัจจุบันมีบริษัท Astrobotic Technology, Intuitive Machines, ispace และ Draper Laboratory ที่ได้รับสัญญาสำหรับนำส่งการทดลอง รวมถึงยานอวกาศต่างๆ ไปลงดวงจันทร์ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของโครงการอาร์ทีมิส และกระตุ้นเศรษฐกิจอวกาศของสหรัฐฯ ออกสู่เอกชนรายย่อยมากยิ่งขึ้น
เจเน็ต เปโตร รักษาการผู้อำนวยการ NASA ระบุว่า “นี่คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า NASA และบริษัทสัญชาติอเมริกันกำลังบุกเบิกเส้นทางในการสำรวจอวกาศ เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ”
อุปกรณ์การทดลองบนเที่ยวบินของ Blue Ghost ประกอบด้วยการทดลองจากหน่วยงานต่างๆ เช่น บริษัท Blue Origin, องค์การอวกาศอิตาลี (ASI), บริษัท Aegis Aerospace และมหาวิทยาลัยต่างๆ ของสหรัฐฯ เพื่อใช้ศึกษาและเก็บข้อมูลจากบริเวณที่ยานไปลงจอด ซึ่งมีชื่อเรียกว่า Mare Crisium และเป็นหลุมอุกกาบาตโบราณ ที่ถูกเติมเต็มด้วยลาวาจำนวนมาก ซึ่งเย็นตัวลงกลายเป็นชั้นหินบะซอลต์ในปัจจุบัน
นอกจากการเก็บข้อมูลเพื่อประโยชน์เชิงวิทยาศาสตร์แล้ว อุปกรณ์บนยาน Blue Ghost ยังมีการสาธิตเทคโนโลยีสร้างสนามไฟฟ้า เพื่อช่วยลดการก่อตัวของฝุ่นบนพื้นผิว ที่อาจนำไปต่อยอดพัฒนาใช้กับสถานีอวกาศบนดวงจันทร์ในอนาคต รวมถึงการสาธิตระบบรับสัญญาณจาก GPS และดาวเทียมนำทางบนโลก เพื่อนำไปพัฒนาใช้กับการนำทางบนดวงจันทร์ในภารกิจหลังจากนี้
ในเวลาเดียวกันกับที่ยาน Blue Ghost ภารกิจ 1 ลงทำงานบนพื้นผิวดวงจันทร์ ยานอวกาศ Athena ความพยายามลงดวงจันทร์ครั้งที่สองของบริษัท Intuitive Machines ก็มีกำหนดลงจอด ณ ขั้วใต้ดวงจันทร์ วันที่ 6 มีนาคมนี้ เช่นเดียวกับภารกิจ Hakuto-R เที่ยวที่ 2 ของบริษัท ispace ซึ่งเคยพยายามลงจอดครั้งแรกไปเมื่อปี 2023 ก็กำลังอยู่ระหว่างเดินทางไปลงจอดอย่างเร็วที่สุดในเดือนเมษายน 2025
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังมีแผนส่งนักบินอวกาศกลับไปบินผ่านดวงจันทร์อีกครั้งในเดือนเมษายน 2026 ในภารกิจอาร์ทีมิส 2 โดยที่จีนก็กำลังเร่งพัฒนายานฉางเอ๋อ 7 เพื่อไปลงจอดเหนือขั้วใต้ดวงจันทร์ในปีเดียวกัน พร้อมกับมีอุปกรณ์ทดลองเพื่อวัดสภาพอวกาศในวงโคจรรอบดวงจันทร์ ชื่อ MATCH ภายใต้การพัฒนาของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) และมหาวิทยาลัยมหิดล ติดตั้งไปกับยานโคจรรอบดวงจันทร์ด้วย
อาจกล่าวได้ว่าภารกิจสำรวจดวงจันทร์กำลังกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง เมื่อสหรัฐฯ ได้มีการกระตุ้นให้เกิดเศรษฐกิจอวกาศ ด้วยการให้บริษัทเอกชนเข้ามามีบทบาทกับโครงการอาร์ทีมิสมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับฝั่งจีนที่มีแผนการสำรวจดวงจันทร์อย่างชัดเจน พร้อมเป้าหมายสูงสุดในการสร้างสถานีวิจัยนานาชาติบนขั้วใต้ดวงจันทร์ โดยอาศัยการเรียนรู้จากภารกิจต่างๆ ในโครงการฉางเอ๋อไปตามลำดับขั้น
แต่ในท้ายที่สุด การแข่งขันและพัฒนาด้านอวกาศอย่างรวดเร็วของหน่วยงานต่างๆ อาจเป็นผลพลอยได้ที่สร้างประโยชน์ให้กับชีวิตบนโลก ดั่งเช่นนวัตกรรมที่ถูกพัฒนามาใช้ในสมัยโครงการอพอลโล เช่น อาหารแบบฟรีซดราย ระบบกรองน้ำ หรือชั้นป้องกันไฟ ก็ได้ต่อยอดมาใช้งานอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ดั่งคำพูดที่ วิลเลียม แอนเดอร์ส นักบินอวกาศภารกิจอพอลโล 8 ได้เคยกล่าวไว้ว่า
“เราเดินทางมาตั้งไกลเพื่อสำรวจดวงจันทร์ แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่เราค้นพบคือโลกของพวกเราเอง”
ภาพ: Firefly Aerospace
อ้างอิง: