×

S&P 500 พุ่งทำ All Time High ตลาดมีความหวังว่าสหรัฐฯ หลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้

20.09.2024
  • LOADING...

ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นปิดตลาดที่ระดับสูงเป็นประวัติการณ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (19 กันยายน) ซึ่งเป็นวันหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% และส่งสัญญาณว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกในอนาคต

 

ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 1.7% ซึ่งทำลายสถิติสูงสุดใหม่ครั้งที่ 39 ในปี 2024 และปรับตัวสูงขึ้นในปีนี้ประมาณ 20% นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ในขณะที่กลุ่มหุ้นปลอดภัย (Defensive Stock) ให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าคาด ดัชนี Nasdaq 100 เพิ่มขึ้น 2.6% และดัชนี Russell 2000 ของกลุ่มหุ้นขนาดเล็กเพิ่มขึ้น 2.1%

 

ในช่วงท้ายของตลาด หุ้น FDX ร่วงลง เนื่องจากนักลงทุนมองเห็นแนวโน้มขาลงของบริษัท ขณะที่หุ้น NKE พุ่งขึ้น หลังจากมีรายงานว่า Elliott Hill ซึ่งเป็นผู้บริหารมายาวนานกำลังจะแทนที่ John Donahoe ในตำแหน่งซีอีโอของบริษัท

 

หุ้นขนาดใหญ่ได้กลับมามีกำไรอีกครั้ง โดย TSLA พุ่งขึ้นมากกว่า 7% ทางด้าน AAPL และ META ต่างก็พุ่งขึ้นเกือบ 4% และ NVDA ยักษ์ใหญ่ด้าน AI ปรับตัวขึ้นประมาณ 4% ซึ่งช่วยให้ดัชนีเซมิคอนดักเตอร์ SOX พุ่งขึ้น 4.3%

 

เทรดเดอร์เตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกไตรมาสที่เรียกว่า Triple Witching ซึ่งเป็นวันที่สัญญาออปชัน (Options) ที่อ้างอิงกับหุ้น, สัญญาออปชันที่อ้างอิงกับดัชนีหุ้น และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ จะหมดอายุพร้อมกันในวันเดียว ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้น Asym 500 ประมาณการว่า ตราสารอนุพันธ์มูลค่าราว 5.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐจะหมดอายุในวันศุกร์นี้ ซึ่งการหมดอายุของตราสารอนุพันธ์เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการปรับสมดุลดัชนีอ้างอิง

 

การเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ได้จุดประกายความหวังอีกครั้งว่า ธนาคารกลางจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ ข้อมูลเมื่อวันพฤหัสบดียังแสดงให้เห็นว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน (Weekly Jobless Claims) ลดลงสู่ระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ซึ่งส่งสัญญาณว่าตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่งแม้ว่าการจ้างงานจะชะลอตัวลงก็ตาม จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ลดลง 12,000 ราย อยู่ที่ 219,000 ราย ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้มาก ตัวเลขที่ดีเกินคาดนี้ช่วยให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าเศรษฐกิจกำลังมุ่งหน้าสู่ Soft Landing

 

ดัชนี S&P 500 พุ่งทะลุ 5,700 จุด, ดัชนี Dow Jones Industrial Average ปิดตลาดเหนือ 42,000 จุด และดัชนี VIX ซึ่งเป็นมาตรวัดความผันผวนของวอลล์สตรีทร่วงลงมาที่ประมาณ 16, ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นในวันพฤหัสบดี โดยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นมาที่ 3.726% ส่วนผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปีร่วงลงมาอยู่ที่ 3.594%

 

จากข้อมูลในอดีตพบว่า หุ้นขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ มีผลตอบแทนดีกว่าหุ้นขนาดเล็กในปีหลังจากที่ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก โดยนับตั้งแต่ปี 1989 Fed เริ่มวัฏจักรการลดดอกเบี้ย 6 รอบ และตลาดหุ้นก็ปรับตัวสูงขึ้น 4 ใน 6 รอบดังกล่าว โดยหุ้นขนาดเล็กมีผลตอบแทนดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่เฉพาะในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2001 และ 2008

 

Solita Marcelli, UBS Global Wealth Management กล่าวว่า ในระยะสั้นหุ้นขนาดเล็กอาจได้รับแรงหนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่า เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วบริษัทเหล่านี้มีหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวมากกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มกำไรของหุ้นขนาดเล็กยังคงชะลอตัว และเศรษฐกิจที่ซบเซาเป็นอุปสรรคต่อสินทรัพย์ประเภทนี้มาโดยตลอด

 

“ดังนั้นเราจึงยังคงชอบหุ้นขนาดใหญ่ในระยะยาว Marcelli คาดว่า ดัชนี S&P 500 จะแตะระดับ 5,900 จุดภายในสิ้นปีนี้ และขยับขึ้นแตะระดับ 6,200 จุดภายในเดือนมิถุนายน 2025 เธอเชื่อว่ากำไรจากหุ้นจะเติบโตมากขึ้น โดยหุ้นในภาคเทคโนโลยียังมีศักยภาพที่จะเพิ่มขึ้นต่อไป”

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising