ภาคเอกชนจี้รัฐเร่งสางปมเงินปริศนาใน ‘ธุรกรรมทอง-คริปโต-แรงงานนอกระบบ’ ที่ดันบาทแข็ง พร้อมชงตั้งกองทุน Sovereign Wealth Fund เพื่อเป็นกลไกเพิ่มเติมตอบโจทย์กับกิจกรรมการเคลื่อนย้ายเงินทุน ห่วงสถานการณ์คอร์รัปชันในไทย พร้อมตั้งคณะทำงาน Zero Corruption
วันนี้ (1 ตุลาคม) ดร. พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนตุลาคม 2568 ระบุว่า ท่ามกลางภาวะค่าเงินบาทยังแข็งค่า และมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับราคาทองคำ ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังขาดข้อมูลเชิงลึก เพื่ออธิบายผลกระทบจากธุรกรรมทองคำและคริปโตเคอร์เรนซี รวมถึงการโอนเงินกลับประเทศของแรงงานต่างด้าวที่อยู่นอกระบบ ซึ่งทำให้ตัวเลขดุลการชำระเงินส่วนใหญ่ถูกจัดอยู่ในหมวดคลาดเคลื่อน (Errors & Omissions) โดยไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน
กกร. จึงเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกัน เชื่อมโยงข้อมูล เร่งแยกแยะและวิเคราะห์ผลกระทบของธุรกรรมเหล่านี้ต่อภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) พร้อมทั้งพิจารณามาตรการเชิงโครงสร้างเพื่อสร้างสมดุลในระยะยาว เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่า อาทิ การจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่ง (Sovereign Wealth Fund) เพื่อเป็นกลไกเพิ่มเติมตอบโจทย์กับกิจกรรมการเคลื่อนย้ายเงินทุน ไม่ยึดติดกับผลิตภัณฑ์เดิม รองรับและบริหารความผันผวนอย่างเป็นระบบ
ทั้งนี้ การประชุมวันนี้ มีเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย ร่วมในการแถลงข่าวด้วย
ห่วงสถานการณ์คอร์รัปชันในไทย พร้อมตั้งคณะทำงาน Zero Corruption
นอกจากนั้น กกร. ยังได้มีประเด็นสำคัญที่หารือเพิ่มเติม สืบเนื่องจาก Problem Statement ของข้อเสนอ ‘Reinvent Thailand’ กกร. จึงให้ความสำคัญกับสถานการณ์คอร์รัปชันในประเทศไทยที่ยังคงอยู่ในระดับรุนแรงและเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างชาติ
โดยในผลการสำรวจของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในเรื่องดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทย ชี้ว่าการทุจริตเชิงนโยบายและการทุจริตในระดับท้องถิ่นที่ปรากฏอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้งบประมาณภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่ที่ขาดความโปร่งใส การเรียกรับผลประโยชน์ในการจัดซื้อจัดจ้าง หรือการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เสมอภาค ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการจำนวนมากที่ยังคงเผชิญแรงกดดันต้องจ่ายเงินพิเศษให้เจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้มีอำนาจทางการเมืองเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิหรือสัญญาตามระบบราชการ
ดังนั้น กกร. ได้จัดตั้งคณะทำงาน Zero Corruption : กกร. ไม่ทน ขึ้นมาโดยตรง เพื่อรวบรวมข้อเสนอจากภาคธุรกิจและภาคประชาสังคม พร้อมจัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายที่จะนำเสนอต่อรัฐบาลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้มาตรการเหล่านี้ถูกนำไปปฏิบัติได้จริง และสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงสร้างระบบเศรษฐกิจและการเมืองไทยที่โปร่งใส เป็นธรรม และยั่งยืนในระยะยาว
โดยคณะทำงานดังกล่าวประกอบด้วย ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายที่เข้ามาร่วมผลักดัน ได้แก่ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT, แนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)
โดยมีกรอบการทำงานของคณะทำงาน Zero Corruption ที่จะเน้นไปที่ 8 ด้านสำคัญ ได้แก่
- หลักธรรมาภิบาล
- การปลูกฝังจิตสำนึก
- นโยบายต่อต้านการทุจริต
- ระบบบริหารความเสี่ยง
- การมีส่วนร่วม
- เทคโนโลยี
- การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ
- การปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบ (Guillotine) ที่เคยดำเนินการมาก่อนหน้านี้ และจัดลำดับประเด็นที่จะต้องเร่งดำเนินการทั้งในระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งคณะทำงานจะบูรณาการความร่วมมืออย่างจริงจังเพื่อต่อต้านการทุจริตอย่างเป็นรูปธรรม
คงประมาณการ GDP แนะรัฐเร่งเบิกจ่ายงบฯ ปี 69
กกร ยังคงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 ไว้ที่ 1.8%-2.2% ตามที่ประเมินไว้เดิม พร้อมแนะว่า หากรัฐบาลสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ให้ได้ราว 1 ใน 3 ของงบประมาณภายในสิ้นปีนี้ รวมทั้งกระตุ้นนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศให้ไปถึง 34 ล้านคน ควบคู่ไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคนละครึ่งพลัส สนับสนุน SMEs และ Made in Thailand ตามแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ให้โตได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่โต 2.5%
สำหรับตัวเลขการส่งออก กกร. ยังคงประมาณการการเติบโตไว้ที่ 2–3% โดยมีปัจจัยกดดันสำคัญจากค่าเงินบาทที่แข็งค่ารุนแรงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยและการท่องเที่ยว
อย่างไรก็ดี ภาคเอกชนเห็นว่าหากสามารถดูแลเสถียรภาพและทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ตัวเลขการส่งออกปรับตัวสูงขึ้นได้ รวมถึงการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่
ดังนั้น กกร. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และทบทวนประมาณการการส่งออกอีกครั้งในการประชุมเดือนหน้า
เตือนเร่งยกระดับ RVC สู่ 40% หวั่นกระทบการแข่งขันและแรงงานกว่า 4 แสนคน
ไทยต้องเร่งยกระดับ Regional Value Content (RVC) เนื่องจากหากไม่สามารถรักษาระดับที่เหมาะสมได้ อาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ และส่งผลต่อแรงงานราว 4 แสนคนที่เกี่ยวข้อง จึงจำเป็นต้องเร่งพัฒนาการใช้วัตถุดิบในประเทศ และเสริมสร้างอุตสาหกรรมต้นน้ำให้แข็งแรง
โดยมี RVC ที่เหมาะสมอยู่ที่ 40% ซึ่งจะเป็นเกณฑ์สำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้อย่างมั่นคงในตลาดโลก
ขอบคุณรัฐบาล เดินสายเยี่ยม 3 สถาบัน จี้เร่งดันนโยบายเป็นรูปธรรม
ในแถลงการณ์ กกร. ยังระบุว่า ขอแสดงความขอบคุณรัฐบาลที่ได้ให้ความสำคัญกับการหารือร่วมกับภาคเอกชน ผ่านการประชุมกับทั้ง 3 สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนถึงการเปิดรับฟังความคิดเห็นและการทำงานแบบมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง โดยหลายข้อเสนอของภาคเอกชนได้ถูกบรรจุไว้ในนโยบายของรัฐบาลแล้ว
“กกร. จึงคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่านโยบายเหล่านี้จะได้รับการผลักดันให้เกิดผลอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าอย่างมั่นคงต่อไป”
พร้อมกันนี้ กกร. ยังยืนยันความพร้อมที่จะสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลอย่างเต็มที่ในช่วงระยะเวลาก่อนการเลือกตั้ง เพื่อให้มาตรการด้านเศรษฐกิจไม่สะดุด และสามารถสร้างความต่อเนื่องในการพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน
โดย กกร. ได้เสนอร่างพิมพ์เขียว เวที ‘Reinvent Thailand’ เพื่อเป็นกรอบการทำงานที่รวดเร็วและคล่องตัวเหมาะสมกับบริบทโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง ในการฟื้นฟูและยกระดับเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
เสนอทบทวนร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฯ
นอกจากนี้ กกร. ยังระบุว่า สืบเนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรอยู่ระหว่างพิจารณา (ร่าง) พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ซึ่ง กกร. ได้พิจารณาแล้วมีข้อกังวลต่อร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว เนื่องจากมีบางมาตราที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม และเพิ่มภาระต้นทุนในการจ้างงานให้กับนายจ้าง นอกจากนี้ ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ยังขาดการรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนอย่างเป็นระบบและรอบด้าน
ดังนั้น กกร. จึงขอให้มีการทบทวนร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฯ และขอให้ภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นคณะกรรมาธิการในการพิจารณา (ร่าง) พ.ร.บ. ดังกล่าว เพื่อสะท้อนความเห็นและมุมมองต่อการปรับปรุงกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง รวมทั้งไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและภาพรวมเศรษฐกิจไทย