แพทย์ชาวแอฟริกาใต้คนแรกที่ส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับโควิดสายพันธุ์โอไมครอนเปิดเผยว่า อาการของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ “ผิดปกติ แต่ไม่รุนแรง”
พญ.แอนเจลีก โคเอตซี เปิดเผยกับสื่ออังกฤษอย่าง The Telegraph ว่า เธอเริ่มตื่นตัวว่าอาจเกิดไวรัสสายพันธุ์ใหม่เมื่อเริ่มมีผู้ป่วยมาเข้ารับการรักษาที่คลินิกส่วนตัวของเธอในกรุงพริทอเรียเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ด้วยอาการของโควิด แต่ไม่ทราบทันทีในตอนนั้น
ผู้ป่วยเหล่านี้เป็นคนหนุ่มสาวที่มีภูมิหลังและชาติพันธุ์ต่างกัน พวกเขามาที่คลินิกของเธอด้วยอาการอ่อนเพลียขั้นรุนแรง และอีกรายหนึ่งเป็นเด็กอายุ 6 ขวบที่มีอัตราการเต้นของหัวใจสูงมาก อย่างไรก็ตาม ในบรรดาผู้ป่วยเหล่านี้ไม่มีใครสูญเสียการรับรสหรือกลิ่น
“อาการของผู้ป่วยกลุ่มนี้แตกต่างกันมากและไม่รุนแรงมากเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ฉันเคยรักษามาก่อน” พญ.โคเอตซี แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปที่มีประสบการณ์ 33 ปี และปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานแพทยสมาคมแห่งแอฟริกาใต้ ควบคู่กับการเปิดคลินิกส่วนตัว กล่าว
เธอได้แจ้งต่อคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านวัคซีนของแอฟริกาใต้เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน เมื่อพบว่าครอบครัวหนึ่งซึ่งมีสมาชิก 4 คน มีผลตรวจโควิดเป็นบวก โดยทั้งหมดมีอาการอ่อนเพลียรุนแรง
พญ.โคเอตซี กล่าวว่า คนไข้ของเธอประมาณ 20 กว่าคนป่วยเป็นโควิดสายพันธุ์ใหม่ โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ชายที่แข็งแรง แต่กลับ “รู้สึกเหนื่อยมาก” และประมาณครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
“เรามีเคสที่น่าสนใจมากเคสหนึ่งคือ เด็กอายุประมาณ 6 ขวบ ซึ่งมีอุณหภูมิและอัตราการเต้นของหัวใจสูงมาก ฉันคิดว่าควรให้เธอแอดมิตหรือไม่ แต่เมื่อฉันติดตามอาการของเธอในอีก 2 วันต่อมากลับพบว่าอาการของเธอดีขึ้นมาก” พญ.โคเอตซี กล่าว
พญ.โคเอตซี ได้บรรยายสรุปให้แก่สมาคมการแพทย์อื่นๆ ของแอฟริกาเมื่อวันเสาร์ โดยเธอยืนยันว่า คนไข้ของเธอทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง แต่เธอกังวลว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้อาจส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุรุนแรงกว่ามาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวานหรือโรคหัวใจ และไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
“สิ่งที่เราต้องกังวลในตอนนี้คือ ผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับวัคซีนติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ และหากพวกเขาไม่ได้รับการฉีดวัคซีน เราจะเห็นคนจำนวนมากที่มีอาการป่วยรุนแรง” เธอกล่าว
ทั้งนี้ แอฟริกาใต้มีประชากรที่มีอายุมากกว่า 65 ปีอยู่เพียงประมาณ 6% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อไวรัสมากกว่าอาจต้องใช้เวลาพอสมควรจึงจะปรากฏ
สายพันธุ์ B.1.1.529 ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งชื่อว่า โอไมครอน ถูกพบครั้งแรกในบอตสวานาเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน และปัจจุบันพบแล้วในแอฟริกาใต้ สหราชอาณาจักร อิสราเอล เนเธอร์แลนด์ ฮ่องกง และเบลเยียม
โอไมครอนเป็นไวรัสโควิดสายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์มากที่สุดเท่าที่มีการค้นพบจนถึงขณะนี้ โดยมีการกลายพันธุ์ตรงส่วนโปรตีนหนามของไวรัสถึง 32 ตำแหน่ง นักวิทยาศาสตร์กังวลว่าการกลายพันธุ์ดังกล่าวอาจทำให้ไวรัสสามารถหลบเลี่ยงวัคซีนและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว
นักวิทยาศาสตร์แอฟริกาใต้ระบุว่า โอไมครอนเป็นสาเหตุที่ทำให้จำนวนผู้ป่วยโควิดพุ่งพรวดในจังหวัดกัวเต็ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงพริทอเรีย เมืองหลวง และโจฮันเนสเบิร์ก ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดและเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการค้าของแอฟริกาใต้ โดยผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นจากประมาณ 550 รายต่อวันในสัปดาห์ที่แล้ว เป็นเกือบ 4,000 รายต่อวันในปัจจุบัน
สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และอิสราเอล ประกาศห้ามเดินทางไปและกลับจากแอฟริกาใต้และประเทศใกล้เคียง ได้แก่ บอตสวานา เอสวาตีนี เลโซโท โมซัมบิก นามิเบีย และซิมบับเว
การห้ามเดินทางของชาติตะวันตกสร้างความโกรธเคืองในหมู่ชาวแอฟริกาใต้ ซึ่งเรียกร้องว่าพวกเขาถูกลงโทษ ทั้งๆ ที่สถาบันวิจัยของพวกเขาสามารถค้นพบไวรัสกลายพันธุ์และเปิดเผยอย่างโปร่งใส
ภาพ: James D. Morgan / Getty Images
อ้างอิง: