หวนคืนหน้าจอในรอบ 5 ปี ของกรรมกรข่าวที่ชื่อว่า ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ เป็นทั้งข่าวดีให้กับช่อง 3 ซึ่งผลประกอบการกำลังในช่วงขาลง โดยเฉพาะช่วง 3 ปีมานี้ปรากฏเป็นตัวเลข ‘ขาดทุน’ ทั้งปี 2561 ขาดทุน 330.18 ล้านบาท, ปี 2562 ขาดทุน 397.17 ล้านบาท และปี 2563 ขาดทุน 214.25 ล้านบาท
ขณะเดียวกันก็เป็นความท้าทายของช่องอื่นๆ ที่ต้องแย่งชิงเรตติ้ง และที่สำคัญที่สุดคือ ‘เม็ดเงินโฆษณา’ ซึ่งปกติแล้วรายการข่าวอยู่ที่สัดส่วน 20-25% ของเม็ดเงินทั้งหมด
ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จํากัด หรือ MI ประเมินว่า การกลับมาของสรยุทธในครั้งนี้จะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญในหลายๆ เรื่อง เช่น ความสนใจในการติดตามข่าวสาร อิทธิพลทางความคิด ความรู้สึก ของผู้ชมรายการโทรทัศน์ต่อข่าวสาร ความเคลื่อนไหวต่างๆ และการสร้างแรงกระเพื่อมให้กับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเป็นพิเศษ ซึ่งสรยุทธมีบทบาทสำคัญต่อเรื่องเหล่านี้ ซึ่งน่าจะส่งผลบวกโดยตรงต่อช่อง 3 โดยเฉพาะรายการข่าว และเม็ดเงินโฆษณาสื่อทีวีโดยรวม
ช่วงที่ผ่านมาหลังจากที่ ‘สรยุทธ์’ ยุติการจัดรายการ ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ ช่องที่ได้อานิสงส์เชิงบวกทันทีคือรายการข่าวช่วงเช้าช่อง 7 อย่างไรก็ตาม เรตติ้งที่ตกลงอย่างต่อเนื่องของรายการ ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ ส่งผลบวกต่อเรตติ้งรายการข่าวช่วงเช้าของช่องอมรินทร์ทีวี 34, Workpoint TV ช่อง 23, ไทยรัฐทีวี และช่อง one31 ตามลำดับ
โดยเรตติ้งเฉลี่ยของรายการ ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ และ ‘เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์’ เริ่มลดลงในเดือนมีนาคม ปี 2559 หลังจากสรยุทธ์ยุติการจัดรายการ และเรตติ้งค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่องจนค่อนข้างคงที่ตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน
หากเทียบให้เห็นภาพคือ เรตติ้งเฉลี่ยของรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ในช่วงที่สรยุทธยังจัดรายการอยู่ เปรียบเทียบกับเรตติ้งเดือนล่าสุด ตกลงมากกว่า 60% และรายการ เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ ตกลงมากกว่า 30%
ในช่วงมาตรการล็อกดาวน์จากโควิด-19 ระลอกแรก เรตติ้งของเรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ และ เรื่องเด่นเย็นนี้ สูงขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งอาจเกิดจากช่วงเวลาระหว่างวันที่ผู้ชมไม่สามารถออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านได้ตามปกติ ซึ่งมีผลให้เรตติ้งทีวีสูงขึ้นกว่าช่วงเวลาปกติ 10%-15% เพราะผู้ชมใช้เวลาดูทีวีเฉลี่ยในแต่ละวันมากขึ้นประมาณ 30 นาที ในขณะที่เรื่องเล่าเช้านี้เรตติ้งไม่ได้เปลี่ยนแปลง
จากข้อมูลของ MI ได้ระบุ 10 รายการข่าวเช้าช่วง 06.00-09.00 น. ที่มีเรตติ้งสูงสุด ซึ่งเป็นเรตติ้งระหว่างวันที่ 21 ธันวาคม 2563 – 16 มีนาคม 2564 ในกลุ่มผู้ชมอายุ 15 ปีขึ้นไป ทั่วประเทศ ดังนี้
- สนามข่าว 7 สี ช่อง 7 เรตติ้ง 1.438
- เช้านี้…ที่หมอชิต ช่อง 7 เรตติ้ง 1.216
- ข่าวอรุณอมรินทร์ สุดสัปดาห์ ช่องอมรินทร์ทีวี 34 เรตติ้ง 1.113
- เรื่องเล่าเช้านี้ ช่อง 3 เรตติ้ง 1.112
- สนามข่าว เสาร์-อาทิตย์ ช่อง 7 เรตติ้ง 0.984
- ข่าวเช้าไทยรัฐ เสาร์-อาทิตย์ ช่องไทยรัฐทีวี เรตติ้ง 0.766
- เรื่องเล่าหน้าหนึ่ง ช่อง 3 เรตติ้ง 0.748
- ข่าวเช้าเวิร์คพอยท์สุดสัปดาห์ ช่อง Workpoint TV ช่อง 23 เรตติ้ง 0.745
- ข่าวเช้าไทยรัฐ วันหยุด ช่องไทยรัฐทีวี เรตติ้ง 0.728
- ข่าวอรุณอมรินทร์ ช่องอมรินทร์ทีวี 34 เรตติ้ง 0.684
การกลับมาของ ‘สรยุทธ’ ทางช่อง 3 ถึงกับตั้งให้เป็นที่ปรึกษาฝ่ายข่าว พร้อมกับมาจัดรายการเรื่องเล่าเช้านี้ โดยตั้งแต่ 3 พฤษภาคมเป็นต้นไปได้มีการปรับระยะเวลาออกอากาศจาก 06.00-08.00 น. เป็น 06.00-08.20 น. โดยมีผู้ประกาศเป็นสรยุทธ สุทัศนะจินดา คู่กับ ไบรท์-พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ และยังมีการจัดรายการเรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ด้วย
ขณะเดียวกัน สรยุทธจะเข้ามาดูแลรายงานการ ‘เรื่องเด่นเย็นนี้’ ที่ได้ปรับเวลาออกอากาศจาก 15.45-16.45 น. เป็น 16.30-18.00 น. โดยมี ไก่-ภาษิต อภิญญาวาท และ ตูน-ปรินดา คุ้มธรรมพินิจ ที่ย้ายมาจาก PPTV ทำหน้าที่ผู้ประกาศข่าว
อย่างไรก็ตาม ภวัตให้ความเห็นว่า ความท้าทายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสรยุทธคือ ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พฤติกรรมการบริโภคสื่อ พฤติกรรมของผู้ชมหรือผู้เสพรายการข่าว หรือคอนเทนต์ประเภทข่าวเปลี่ยนไปอย่างมาก ทั้งการรับชมรายการข่าวผ่านทีวีช่องต่างๆ และช่องทางออนไลน์ หรือผ่านโซเชียลมีเดียของ Publishers และ KOLs ที่หลากหลาย (ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น) เป็นที่นิยมมากขึ้นในวงกว้าง จนกลายเป็นพฤติกรรมหลักไปแล้วสำหรับคนหลายกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนเมืองและคนรุ่นใหม่ ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา คนดูทีวีประจำหายไปกว่า 25%
“การกลับมาทำหน้าที่ผู้ดูแลรายการข่าว ผู้ดำเนินรายการข่าวของสรยุทธ อาจเป็นเรื่องยากและท้าทายมากที่จะดันเรตติ้งกลับไปที่จุดเดิม หรือสูงกว่าเรตติ้งเมื่อ 5 ปีที่แล้ว” ภวัตกล่าว “เดือนพฤษภาคมเราจะมาดูกันอีกทีว่า ความนิยมในตัวสรยุทธจะดึงเรตติ้งช่อง 3 ให้กลับขึ้นมามากน้อยแค่ไหน และจะมีผลต่อการปรับตัวของช่องอื่นๆ หรือไม่”
นอกเหนือจากเรตติ้งแล้ว การกลับมาของ ‘สรยุทธ’ จะสามารถช่วยกู้สถานการณ์การเงินช่อง 3 ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะตอนที่สรยุทธยังทำหน้าที่อยู่นั้น ราคาโฆษณาของช่วงข่าวอยู่ที่นาทีละ 2 แสนบาท ซึ่งคิวเต็มยาวเหยียด แม้วันนี้ราคาตามเรตการ์ดจะไม่ได้ปรับลดลง แต่ด้วยไม่มีแม่เหล็กดึงดูดอีกต่อไป ประกอบกับคู่แข่งรายอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ช่อง 3 ต้องใช้วีธีลด แลก แจก แถม เพื่อดึงโฆษณาให้เข้ามา
“การจะปรับขึ้นราคาของช่อง 3 ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะวันนี้ไม่ได้มีแค่คู่แข่งหลักที่มีเพียงช่อง 7 แต่ยังมีช่องอื่นๆ อีก ดังนั้นเราจีงเชื่อว่าจะยังไม่เห็นการปรับขึ้นราคาอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่เราจะพบคือ การใช้โปรโมชันลด แลก แจก แถม จะน้อยลงอย่างแน่นอน”
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล