×

ผบ.สูงสุด เผยเบื้องหลังวิกฤตชายแดนและยุทธศาสตร์ชาติในวันที่โลกเปลี่ยน

15.09.2025
  • LOADING...
songwit-noonpakdee-interview-security-dialogue

 

เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพการประชุมนานาชาติ ‘Thailand Security Dialogue 2025’ ซึ่งเป็นเวทีหารือด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคงที่รวบรวมนายทหารระดับสูง เอกอัครราชทูต นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญจากนานาประเทศ โดยมี พล.อ. ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานและให้การต้อนรับบุคคลสำคัญ เช่น ผู้บัญชาการทหารสูงสุดจากมาเลเซีย บรูไน และแคนาดา

 

การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นตามเจตนารมณ์ของกองทัพไทย ที่ต้องการส่งเสริมบทบาทของไทยบนเวทีความมั่นคงระดับภูมิภาค แต่ขณะที่การหารือมุ่งไปที่ยุทธศาสตร์แห่งอนาคต สถานการณ์ที่ท้าทายที่สุดของไทยกลับเป็นความตึงเครียดบริเวณชายแดนฝั่งตะวันออกกับประเทศกัมพูชา เหตุปะทะรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม นำไปสู่การลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต และถือเป็นการหวนกลับมาของปัญหาความขัดแย้งครั้งประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะกรณีพิพาทปราสาทพระวิหารเมื่อ 14 ปีก่อน

 

ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว พล.อ. ทรงวิทย์ หนุนภักดี คือผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการบัญชาการ โดยไม่ใช่เพียงนายทหารที่เติบโตมาในสายงานเท่านั้น แต่ยังเป็นทายาทของ พล.อ. อิสระพงศ์ หนุนภักดี อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ประสบการณ์จากการดำรงตำแหน่งสำคัญอย่างแม่ทัพภาคที่ 1 ทำให้มีความเข้าใจต่อประเด็นชายแดนอย่างลึกซึ้ง และในวันที่ 30 กันยายนนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดท่านนี้กำลังจะเกษียณอายุราชการ

 

ดิฉันมีโอกาสพูดคุยกับ พล.อ. ทรงวิทย์ ในการสัมภาษณ์พิเศษของรายการ THE WORLD DIALOGUE ซึ่งเป็นการสนทนาที่บันทึกมุมมองของผู้นำสูงสุดทางทหารในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังเผชิญกับบททดสอบด้านความมั่นคงที่สำคัญ

 

พล.อ. ทรงวิทย์

 

ชนวนร้อนการเมือง สู่ความขัดแย้งชายแดน

 

วิกฤตครั้งนี้ซับซ้อนกว่าแค่การกระทบกระทั่งตามแนวชายแดนทั่วไป แต่ยังมีปัจจัยการเมืองภายในของทั้งสองประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง มีการวิเคราะห์ว่าฝ่ายกัมพูชาอาจใช้สถานการณ์ชายแดนเพื่อปลุกกระแสชาตินิยม เสริมความนิยมให้รัฐบาลในประเทศ


จุดเปลี่ยนสำคัญที่เพิ่มความไม่ไว้วางใจคือ การเผยแพร่ ‘คลิปเสียง’ ระหว่างสมเด็จฮุน เซน และ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งส่งผลให้บรรยากาศทางการเมืองเปราะบางอย่างยิ่ง ทำให้การตอบสนองต่อวิกฤตในระดับรัฐบาลเป็นไปอย่างยากลำบาก และภาระหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยจึงตกอยู่กับกองทัพโดยตรง

 

เบื้องหลังแผน ‘จักรพงษ์ภูวนาถ’: การทำงานของกองทัพในภาวะวิกฤต

 

เมื่อการปะทะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 24 กรกฎาคม พล.อ. ทรงวิทย์ เปิดเผยถึงกระบวนการตัดสินใจและความร่วมมือของกองทัพในระดับสูง

 

“ตีสี่วันนั้นผมยังอยู่ในพื้นที่ พอทราบว่ามีการปะทะก็บินกลับมา และได้พูดคุยกับผู้บัญชาการเหล่าทัพว่าเราจะเดินกันอย่างไรต่อไป” ผบ.ทสส. เล่าถึงการรับมือในชั่วโมงแรก

 

การตัดสินใจสำคัญเกิดขึ้นในห้องบัญชาการรบเช้าวันนั้นคือ การอนุมัติให้ใช้ ‘แผนจักรพงษ์ภูวนาถ’ ซึ่งเป็นแผนปฏิบัติการร่วมของทั้ง 3 เหล่าทัพ เพื่อป้องกันอธิปไตย พล.อ. ทรงวิทย์ กล่าวถึงการตอบสนองของผู้นำทุกเหล่าทัพในขณะนั้นว่า “ผู้บัญชาการเหล่าทัพบอกว่าเราพร้อมใช้แผนจักรพงษ์ภูวนาถและเหล่าทัพพร้อมที่จะปฏิบัติทั้งหมด ทุกคนก็ Align กำลัง ผมพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็นครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ประเทศไทยที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพลุกขึ้นมาร่วมมือกันในการปกป้องอย่างไม่มีข้อแม้”

 

สายการบังคับบัญชาและกำลังพลหลากหลายหน่วยงาน

 

พล.อ. ทรงวิทย์ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการทำงานของผู้บังคับบัญชาและกำลังพลในทุกระดับ ตั้งแต่แม่ทัพภาคที่ 2 (พล.ท.​ บุญสิน พาดกลาง) ซึ่งเป็นผู้ควบคุมยุทธศาสตร์ในพื้นที่ ไปจนถึงผู้บังคับหน่วยระดับยุทธวิธีอย่างผู้การกรมและผู้พัน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้กองทัพสามารถตอบโต้ต่อสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

หัวใจสำคัญของภารกิจนี้คือ ความเสียสละของกำลังพลในระดับปฏิบัติการ

 

“ผมเชื่อว่าคนที่ปกป้องแผ่นดินนี้จริงๆ คือทหารตัวเล็กๆ ที่พร้อมจะแลกด้วยชีวิต…

ผมขอใช้โอกาสนี้สดุดีทุกๆ คน ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ บาดเจ็บ และท่านที่เสียชีวิตไปแล้ว”

 

พล.อ. ทรงวิทย์ ชี้ว่าภารกิจครั้งนี้เป็นการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นทหารหลัก ทหารพราน ตำรวจตระเวนชายแดน หรือสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนจากกระทรวงมหาดไทย

 

จากสมรภูมิสู่โต๊ะเจรจา: ความหวังที่เป็นกลไกทวิภาคี

 

แม้การตอบโต้ทางทหารจะเป็นความจำเป็นเฉพาะหน้า แต่ พล.อ. ทรงวิทย์ ก็ย้ำว่าหนทางแก้ปัญหาระยะยาวต้องกลับสู่กระบวนการทางการทูต ผ่านกลไกสำคัญอย่าง คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC)

 

“ในมุมของกองทัพ เรายังยืนยันเหมือนเดิมว่าต้องปกป้องอธิปไตยตามเส้นเขตแดนของเรา ส่วนจุดที่ยังตกลงกันไม่ได้เรื่องเขตแดนก็ไปว่ากันในเวทีของ JBC ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศเป็นแกนนำ”

 

ผบ.ทสส. สะท้อนว่า แม้กองทัพจะพร้อมรบ แต่ก็เข้าใจดีว่าสันติภาพที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้จากการพูดคุยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าเมื่อการเมืองและความไม่ไว้วางใจเข้าครอบงำ กลไกทางการทูตเหล่านี้ก็อาจหยุดชะงักลง

 

ยุทธศาสตร์ชาติในโลกที่เปลี่ยนแปลง

 

นอกเหนือจากปัญหาเฉพาะหน้า พล.อ. ทรงวิทย์ ยังมองไปถึงภาพใหญ่ของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันของมหาอำนาจ ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับไทย โดยย้ำถึงหลักการ ‘Partner of Choice’ หรือ ‘ไม่เลือกข้าง แต่เลือกเป็นประเด็น’ โดยมีความร่วมมือกับนานาชาติในมิติต่างๆ ตามผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ และชี้ว่าไทยต้องใช้ประโยชน์จากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เป็น ‘ตัวเชื่อม’ (Connectivity) ระหว่างสองมหาสมุทรผ่านการกำหนดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน

 

มุมมองและแผนชีวิตหลังเกษียณ

 

สำหรับชีวิตหลังเกษียณ พล.อ. ทรงวิทย์ วางแผนไว้อย่างเรียบง่ายคือ การกลับไปใช้เวลากับครอบครัว ทำงานด้านการศึกษาเพื่อตอบแทนสังคม และหาความสงบด้วยการบวชศึกษาธรรมะเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ ‘อีกบทบาทหนึ่งของชีวิตที่ไม่ต้องยึดติดกับยศถาบรรดาศักดิ์’

 

ในฐานะผู้สัมภาษณ์ ดิฉันสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของ พล.อ. ทรงวิทย์ ในการนำประสบการณ์และความรู้ทั้งหมดมาปรับใช้อย่างเต็มที่เพื่อรับมือกับสถานการณ์คับขัน ท่านเป็นผู้ที่มองไปข้างหน้าอยู่เสมอ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมเพื่อนร่วมงานในทุกระดับ โดยเฉพาะความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับกำลังพลซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง ขณะที่โจทย์ใหญ่ของกองทัพไทยยังคงเป็นการวางยุทธศาสตร์เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่หลากหลาย ทั้งในระดับพรมแดนและภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ซึ่งจะเป็นบททดสอบสำคัญของกองทัพในศตวรรษที่ 21 ต่อไป

 

ติดตามบทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม เรื่อง บทส่งท้าย ผบ.สูงสุด เปิดใจเบื้องหลังแนวรบไทย-กัมพูชา และรับมือภัยคุกคามใหม่ ได้ในรายการ THE WORLD DIALOGUE ทาง YouTube ช่อง THE STANDARD

 

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising