โลกออนไลน์เศร้าตาม หลังมีการเปิดเผยภาพ ซนฮึงมิน ดาวเด่นทีมชาติเกาหลีใต้ ที่ร้องไห้หัวใจสลายในห้องพักนักกีฬา หลังทีมแพ้ต่อ เม็กซิโกในเกมเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่ยืนยันจะรวมใจกับเพื่อนทุกคนเพื่อสู้ตายในเกมนัดสุดท้ายที่จะพบกับทีมชาติเยอรมนีแน่นอน
ในเกมที่ 2 ของเกาหลีใต้ ในศึกฟุตบอลโลก ปรากฏว่าทีมดังจากเอเชียไม่สามารถสู้กับประสิทธิภาพและความเก๋าของตัวแทนจากอเมริกาเหนือได้ โดยเม็กซิโกได้ประตูนำจากลูกจุดโทษของ คาร์ลอส เวลา ในช่วงครึ่งแรก ก่อนที่ ฮาเวียร์ ‘ชิชาริโต’ เอร์นานเดซ จะทำประตูที่ 2 แต่ก่อนหมดเวลา ซนฮึงมิน ดาวเตะจากทีมท็อตแนม ฮอตสเปอร์ สามารถยิงตีไข่แตกได้ด้วยลูกยิงไกลจากนอกกรอบเขตโทษเข้าไปอย่างสุดสวย
ประตูของซนเป็นประตูแรกของเกาหลีใต้ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ และเป็นประตูที่ 2 ที่เขายิงได้ในฟุตบอลโลก แต่ก็ไม่ดีพอที่จะทำให้ทีมพลิกสถานการณ์ได้ ทำให้เกาหลีใต้ต้องแพ้เป็นนัดที่ 2 ติดต่อกัน โอกาสในการลุ้นเข้ารอบต่อไปเลือนรางเต็มที ซึ่งหลังจบเกมมีการเปิดเผยภาพของตัวรุกจอมฟิตที่ร้องไห้แบบใจสลายในห้องพัก ด้วยความเสียใจที่ทีมแพ้และไม่สามารถช่วยทีมได้มากกว่านี้
อย่างไรก็ดี ซนกล่าวในระหว่างการให้สัมภาษณ์หลังจากนั้นโดยยืนยันว่า เกาหลีใต้จะพยายามรวบรวมกำลังใจและกลับมาสู้ต่อในเกมนัดสุดท้าย ถึงจะพบกับงานยากเมื่อต้องพบกับเยอรมนี แชมป์เก่าที่ต้องการชัยชนะเพื่อเข้ารอบเช่นกัน
“ทุกคนทำได้ดีแล้ว แต่มันน่าเศร้าที่เราแพ้” ซนกล่าว “พวกเราจำเป็นจะต้องฟื้นฟูกำลังใจของเรากลับมาโดยเร็ว ผลการแข่งขันมันเป็นสิ่งที่เราทำอะไรไม่ได้ กัปตันของเรา คีซุงยอง บอกว่า เขาอยากขอบคุณทุกคน เพียงแต่การผจญภัยของเรายังไม่จบลง นักเตะในทีมเราทุกคนต่างพยายามปลุกเร้ากันเองว่าเราไม่ควรจะก้มหน้าผิดหวังนาน”
ซนกล่าวต่อว่า “ผมหวังว่าเราจะแสดงความสามารถของเราและสร้างความบันเทิงให้กับแฟนๆ ได้ ผมอยากจะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเกาหลีใต้ก็ทำได้เหมือนกัน และการแสดงฝีเท้าให้เห็นในสนามจึงเป็นสิ่งสำคัญ ผมเสียใจจริงๆ แต่ทุกคนได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว ผมอยากขอบคุณแฟนๆ ที่ให้กำลังใจพวกเรา”
สำหรับเหตุการณ์ในห้องแต่งตัวที่ ซนร้องไห้อย่างหยุดไม่ได้ สตาร์จากทีม ‘ไก่เดือยทอง’ เปิดเผยว่า “ผมไม่อยากจะร้องไห้ แต่หลังได้เห็นเพื่อนๆในห้องแต่งตัว ผมก็หยุดร้องไห้ไม่ได้” ก่อนจะกล่าวต่อว่า “เราไม่ใช่ทีมที่แข็งแกร่ง ดังนั้นถ้าเรามีโอกาสเราต้องทำให้ได้ และผมในฐานะกองหน้าก็ควรจะทำให้ดีกว่านี้”
Photo: Yonhapnews
อ้างอิง: