แม้ประเทศไทยจะมีศักยภาพสูงในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ แต่การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในครัวเรือนกลับยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย อะไรคืออุปสรรคสำคัญ และควรแก้ไขอย่างไร
จิรวุฒิ อิ่มรัตน์ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth เห็นว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เป็นทั้งโอกาสและอุปสรรคต่อตลาดพลังงานสะอาดนี้ โดยมองว่าการเติบโตของโซลาร์รูฟท็อปในช่วงที่ผ่านมามีปัจจัยหนุนที่ชัดเจน มี 3 ปัจจัยดังนี้
- ต้นทุนที่ลดลง ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อปอยู่ที่ประมาณ 3 บาทต่อหน่วย ซึ่งถูกกว่าค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในปัจจุบันที่ประมาณ 4 บาทต่อหน่วย ช่วยให้ประหยัดค่าไฟได้ถึง 24% ทำให้การลงทุนมีความคุ้มค่า
- นโยบายรัฐที่เอื้ออำนวย ภาครัฐเริ่มให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น การอนุญาตให้นำค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง 200,000 บาทแรกไปลดหย่อนภาษีได้ และการปรับเปลี่ยนขั้นตอนการขออนุญาตเป็นเพียงแจ้งขอติดตั้ง เพื่อลดความยุ่งยาก
- ศักยภาพจากแสงแดด ประเทศไทยมีแสงแดดเข้มข้นตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นต้นทุนธรรมชาติที่สำคัญ โดย SCB EIC ประเมินว่าเฉพาะที่อยู่อาศัยมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าสูงถึง 120,000 เมกะวัตต์ แต่ปัจจุบันติดตั้งไปแล้วเพียง 2,500 เมกะวัตต์เท่านั้น ทำให้ยังมีโอกาสเติบโตอีกมหาศาล
เจาะ 4 อุปสรรคที่ขัดขวางการตัดสินใจติดตั้ง ‘โซลาร์รูฟท็อป’
แม้จะมีปัจจัยบวกเหล่านี้ แต่ผลสำรวจจาก SCB EIC ที่มีผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 2,200 คน พบว่ายังมี 80% ของผู้ที่สนใจยังไม่ตัดสินใจติดตั้ง เนื่องจากอุปสรรคสำคัญ 4 ประการ
- ขาดความเชื่อมั่นต่อผู้ให้บริการ: ผู้บริโภคไม่มั่นใจในคุณภาพและราคาของผู้ให้บริการติดตั้ง โดย 44% ระบุว่าเป็นอุปสรรคสำคัญอันดับแรก
- ความซับซ้อนของเทคโนโลยี: ตลาดมีแผงโซลาร์และอุปกรณ์ให้เลือกมากมาย ทำให้ผู้บริโภคทั่วไปที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิคไม่สามารถตัดสินใจเลือกได้
- ขั้นตอนการขออนุญาตที่ยังยุ่งยาก: แม้จะมีการผ่อนปรนกฎระเบียบแล้ว แต่ผู้บริโภคบางส่วนยังคงมองว่าขั้นตอนการติดต่อกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อขออนุญาตยังมีความยุ่งยาก
- ปัญหาด้านการเงิน: การจัดหาเงินทุนเพื่อติดตั้งเป็นอุปสรรคสำคัญ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการติดตั้งยังเป็นเงินก้อนใหญ่ที่ต้องใช้เงินสด ซึ่งผู้บริโภคกว่าครึ่งมองว่าเป็นปัญหา
เปิดทางออก บทบาทของแต่ละภาคส่วนในการขับเคลื่อน ‘โซลาร์รูฟท็อป’
เพื่อปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันตามแนวทางที่ SCB EIC เสนอ มีดังนี้
- ผู้ประกอบการติดตั้ง ควรสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการแสดงผลงาน และอธิบายเทคโนโลยีให้เข้าใจง่าย
- สถาบันการเงิน ควรปรับปรุงขั้นตอนการขอสินเชื่อให้รวดเร็ว และเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
- ภาครัฐควรมีบทบาทสำคัญที่สุดในการเป็น หลังบ้าน ที่คอยสนับสนุนในทุกมิติ โดยมีข้อเสนอแนะดังนี้
สำหรับในระยะสั้น จัดตั้งโปรแกรม Voluntary Certification เพื่อรับรองมาตรฐานของผู้ประกอบการและอุปกรณ์, พิจารณาให้เงินอุดหนุนในการติดตั้ง และสร้าง One Stop Service สำหรับการดำเนินงานทั้งหมด
ขณะที่ระยะยาว ผลักดันการซื้อ-ขายไฟฟ้าเสรี (Third Party Access – TPA) เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถซื้อ-ขายไฟฟ้าสะอาดกันเองได้ง่ายขึ้น รวมถึงการมีโครงการรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินคืนจากครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง
ภาพ: ultramansk / Shutterstock