‘มาซาโยชิ ซัน’ (Masayoshi Son) ผู้ก่อตั้ง SoftBank ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทโฮลดิ้งข้ามชาติที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงโตเกียว เปิดตัวโครงการที่ทะเยอทะยานเมื่อกว่า 5 ปีที่แล้ว ซึ่งรู้จักในชื่อ Vision Fund ซึ่งเป็นทุนรวมมูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 4 ล้านล้านบาทด้วยกัน
กองทุนเกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เหล่าสตาร์ทอัพได้รับเงินทุนจำนวนมาก และยุคใหม่ของการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีกำลังจะเกิดขึ้น โดยมีแนวคิดคือการสร้างผลตอบแทนที่ไม่ธรรมดาให้กับนักลงทุน ผ่านการวางเดิมพันกับผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรม ซึ่งมีความกล้าและวิสัยทัศน์ที่จะปฏิวัติสังคม
แต่แล้วเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา ฝ่ายการลงทุนด้านเทคโนโลยีของ SoftBank รายงานผลขาดทุนประจำปีจำนวนมหาศาลที่ 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1 แสนล้านบาท การสูญเสียนี้เกิดจากปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ซึ่งรวมถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ย สงครามที่กำลังดำเนินอยู่ในยุโรป และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ผ่ามรสุมผู้ก่อตั้ง SoftBank กับวลีเด็ดปกป้องตัวเอง “พระเยซูคริสต์ก็เคยถูกเข้าใจผิด” หลังบริหารผิดพลาดจนขาดทุน 5 แสนล้านบาท
- อีกราย! ‘SoftBank’ เตรียมบันทึกขาดทุนทางบัญชีจากการลงทุนใน FTX ราว 100 ล้านดอลลาร์
- SoftBank เผย ต่อจากนี้จะลงทุนในคริปโตและบล็อกเชนอย่างระมัดระวัง พร้อมประกาศว่า ยังคงเชื่อในเทคโนโลยี AI
สถานการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามว่า โครงการที่ทะเยอทะยานและหาญกล้าของซันนั้นยังดำเนินไปได้หรือไม่ ในโลกที่เริ่มตั้งคำถามถึงการเติบโตอย่างไร้การควบคุมของบริษัทเทคโนโลยี
ซันเป็นซีอีโอที่ไม่เหมือนใคร เขาเป็นที่รู้จักจากความแปลกประหลาดของตัวเขาเอง ในอดีตมีรายงานว่าเขาเปรียบเทียบตัวเองกับบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น พระเยซูคริสต์ โดยเขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงคนแรกๆ ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่รับทราบถึงความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นที่โลกกำลังเผชิญอยู่
เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำซันได้ประกาศต่อสาธารณะเมื่อปีที่แล้วว่า เขากำลังเปลี่ยน SoftBank เป็น ‘โหมดป้องกัน’ ซึ่งในทางปฏิบัตินี่หมายถึงการใช้จ่ายที่ช้าลง น่าเสียดายที่แม้แต่โหมดป้องกันนี้ก็ยังไม่สามารถป้องกัน SoftBank จากการระเบิดทางการเงินได้ เพราะข้อมูลแสดงให้เห็นว่า การลงทุนของ Vision Fund มีมูลค่ารวมเพียง 3.1 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ เทียบกับ 4.43 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
ในการยื่นเอกสารทางการเงิน SoftBank รายงานว่าการขาดทุนส่วนใหญ่เกิดจากการที่ราคาลดลงในพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย บริษัทต่างๆ เช่น DoorDash บริษัทขนส่งด่วน และ SenseTime บริษัทจดจำใบหน้าของจีน เป็นหนึ่งในการลงทุนที่เปิดเผยต่อสาธารณะซึ่งมีมูลค่าลดลง
การถือครองส่วนตัวก็ไม่ได้รับการยกเว้นเช่นกัน บริษัทที่ไม่จดทะเบียนใน Vision Fund 2 มีส่วนทำให้สูญเสียการประเมินมูลค่าโดยรวมที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงใน Vision Fund 2 ถึง 1.88 หมื่นล้านดอลลาร์
แม้ SoftBank จะกล่าวว่า 94% ของบริษัทเอกชนในพอร์ตโฟลิโอมีเงินสดเพียงพอสำหรับอยู่รอดในปีหน้า แต่หลายบริษัทกำลังเลิกจ้างพนักงาน ส่วน Vision Fund เองยังต้องเลิกจ้างพนักงานเช่นกัน
เพื่อชดเชยการขาดทุนจำนวนมากจาก Vision Fund กลุ่ม SoftBank เริ่มขายหุ้นที่ถือครองอยู่ ซึ่งรวมถึงการถือหุ้นใน Alibaba บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการทำให้ซันกลายเป็นมหาเศรษฐี และแผนการเสนอขายหุ้นให้กับ Arm ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปชั้นนำ
รายงานทางการเงินเมื่อเร็วๆ นี้เปิดเผยว่า ซันยังรับความเสี่ยงทางการเงินที่สำคัญ โดยถือหนี้สินประมาณ 5.2 พันล้านดอลลาร์ ที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงที่เขาตั้งขึ้นที่ SoftBank Group Corp ข้อตกลงเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มค่าตอบแทนของเขา แต่แล้วความเสี่ยงนี้เกิดขึ้นหลังจาก Vision Fund รายงานผลขาดทุนเป็นประวัติการณ์
ในไตรมาสสุดท้าย Vision Fund ขาดทุน 2.975 แสนล้านเยน (2 พันล้านดอลลาร์) ก่อนจะสิ้นสุดปีบัญชีด้วยยอดขาดทุน 4.3 ล้านล้านเยน ซึ่งนับเป็นผลงานที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ซันก่อตั้งธุรกิจอย่างภาคภูมิในปี 2017
แม้ว่าหุ้นจะดีดตัวขึ้นทั่วโลก แต่นักลงทุนด้านเทคโนโลยีรายใหญ่ที่สุดของโลกกลับรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวัง เนื่องจากประสบผลขาดทุนจากธุรกิจสตาร์ทอัพที่ไม่ได้จดทะเบียนในพอร์ตโฟลิโอ
ซันซึ่งเพิ่งเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน SoftBank ยังเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของเครื่องมือการลงทุนที่สำคัญของบริษัท แม้ว่าการถือครองเหล่านี้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการกำกับดูแลกิจการ แต่มหาเศรษฐีชาวญี่ปุ่นคนนี้ก็ปฏิเสธผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ
หุ้น SoftBank ร่วงลงในการซื้อขายช่วงต้นวันศุกร์ (12 พฤษภาคม) ที่โตเกียวหลังจากรายงานผลประกอบการทางการเงิน หุ้นร่วงมากถึง 5.5% ซึ่งเป็นการร่วงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบสองเดือน นอกจากการขาดทุนแล้ว นักลงทุนยังคาดว่าจะมีการซื้อหุ้นคืนซึ่งไม่เกิดขึ้นจริง
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา SoftBank และผู้ก่อตั้ง Masayoshi Son ใช้เงินเกือบ 1.4 แสนล้านดอลลาร์เพื่อลงทุนในสตาร์ทอัพเกือบ 400 แห่ง โดยหวังว่าอย่างน้อยหนึ่งแห่งจะให้ผลตอบแทนที่สำคัญแก่นักลงทุน
แต่การขาดทุนครั้งมโหฬารกลายเป็นสถานการณ์ที่ทำให้ทีมบริหารของซัน และ SoftBank ตกที่นั่งลำบาก พวกเขาจำเป็นต้องหาผู้ชนะ (ซึ่งหมายถึงให้ผลตอบแทนอย่างงดงาม) โดยเร็ว เนื่องจาก Vision Fund กองทุนแรกมีกำหนดหมดอายุภายใน 6 ปี ในขณะที่กองทุนที่สองมีเวลาอีกเพียง 3 ปีในการให้ผลลัพธ์อย่างที่ซันเคยโม้ไว้
ภาพ: Tomohiro Ohsumi / Getty Images
อ้างอิง: