สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงมาตรการช่วยเหลือธุรกิจสายการบินและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ว่ากำลังพิจารณาบางมาตรการ แต่ไม่ใช่มาตรการ Soft Loan เพราะบางธุรกิจมีการช่วยเหลือบางมาตรการไปแล้ว เช่น ธุรกิจสายการบินที่ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบิน แต่มาตรการ Soft Loan ที่ขอสนับสนุนเข้ามารัฐบาลคงไม่ได้ช่วยในส่วนนั้น ส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เราก็มีการช่วยเหลือไปแล้วในส่วนของการพ่วงเงื่อนไขการซื้ออสังหาริมทรัพย์ไปกับการซื้อไทยแลนด์อีลิตการ์ด
“การขอให้รัฐบาลช่วย Soft Loan ต้องถามว่าผู้ประกอบการจะเอา Soft Loan ไปทำอะไร ไปใช้หนี้เงินต้น ใช้ดอกเงินกู้หรือไม่ ถ้าแบบนั้นทำไมไม่ไปคุยกับแบงก์เอง ซึ่งแบงก์ก็พร้อมที่จะช่วยทั้งขยายระยะเวลา ปรับโครงสร้างหนี้ และขอสินเชื่อเพิ่มเติม ซึ่งส่วนนี้ไม่ใช่ขอให้รัฐบาลช่วย” สุพัฒนพงษ์กล่าว
นอกจากนี้เขายังกล่าวถึงเศรษฐกิจในปี 2563 และปี 2564 ว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะยังเป็นไปตามคาดการณ์เดิมของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คือหดตัว -6%
ส่วนในปี 2564 มองว่าเศรษฐกิจอาจจะขยายตัวได้เกินกว่า 4% เนื่องจากเมื่อมีวัคซีนโควิด-19 เข้ามาแล้ว จะทำให้สามารถเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวได้ และในตอนนี้มีหลายประเทศที่ต้องการเดินทางเข้ามายังประเทศไทย ซึ่งเรายังคงให้กักตัว 14 วัน แต่หากมีวัคซีนแล้วก็สามารถที่จะพิจารณาลดเงื่อนไขในส่วนนี้ได้
สำหรับเศรษฐกิจในปี 2564 ยังคงเน้นในเรื่องของการลงทุนและการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยในเรื่องของงบประมาณมีวงเงินอยู่กว่า 3.2 ล้านล้านบาทก็จะช่วยในการช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจอยู่แล้ว ส่วนเรื่องของการลงทุนจะเน้นเรื่องความร่วมมือให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการของรัฐ (PPP) มากขึ้น โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ที่จะมีความต่อเนื่องไปถึงปี 2565 ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง
“สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่มีการระบาดรอบใหม่ยังอยู่ในวงจำกัด และรัฐบาลยังควบคุมสถานการณ์ได้ และคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 10 กว่าวันเท่านั้นซึ่งทำให้ผลกระทบที่จะเกิดกับเศรษฐกิจมีไม่มากนัก ส่วนมาตรการเยียวยาจะต้องมีอีกหรือไม่ต้องพิจารณาตามสถานการณ์วันต่อวัน” สุพัฒพงษ์กล่าว
สุพัฒนพงษ์ทิ้งท้ายว่า แม้จะมีการประเมินว่าการล็อกดาวน์จังหวัดสมุทรสาครจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานข้ามชาติมีการประเมินว่าจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท แต่ยังถือว่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจและผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศที่มีขนาดประมาณ 12.6 ล้านล้านบาทซึ่งก็ถือว่ายังกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไม่มากนัก
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า