“ชีวิตบนสโนว์เพียร์ซเซอร์ไม่เคยง่าย ไม่ถูกต้อง แต่มันคือสิ่งเดียวที่เรามี”
หนึ่งประโยคสั้นๆ จากตัวอย่างเพียง 1 นาทีเศษที่สามารถอธิบายความโหดร้ายในโลกของ Snowpiercer เวอร์ชันซีรีส์ได้อย่างครบถ้วน เพื่ออุ่นเครื่องก่อนออกเดินทางไปกับเรื่องราวการเอาชีวิตรอดบน ‘รถด่วนขบวนสุดท้าย’ ของมนุษยชาติกันอีกครั้งทาง Netflix เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคมนี้
ซีรีส์ Snowpiercer ดัดแปลงมาจากภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องแรกของ บงจุนโฮ ผู้กำกับชาวเกาหลีใต้ที่คว้ารางวัลออสการ์ครั้งล่าสุดจากภาพยนตร์เรื่อง Parasite (2019) โดยมีคอนเซปต์สำคัญอยู่ที่การนำเสนอการแบ่งชนชั้นในโลก Post Apocalyptic ได้อย่างแสบสัน น่าสนใจ และทำรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โครงของเรื่องว่าด้วยเรื่องราว 7 ปีหลังจากที่โลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง มนุษย์กลุ่มสุดท้ายที่เหลือรอดต้องใช้ชีวิตอยู่ใน ‘ขบวนรถไฟทะลวงน้ำแข็ง’ ที่ขับเคลื่อนด้วย ‘เครื่องจักรนิรันดร์’ และวิ่งวนรอบโลกซ้ำๆ ไม่รู้จบ เพื่อประคองให้ทุกชีวิตอยู่รอดต่อไปในสภาพอากาศที่แสนเลวร้าย
เนื้อเรื่องไม่ได้โฟกัสไปที่ความเหน็บหนาวภายนอกขบวนรถไฟ แต่เน้นที่ ‘สภาพภายในจิตใจ’ ของผู้คนที่ถูกแบ่งลำดับชั้นอย่างชัดเจน คนที่อยู่หัวขบวนจะได้ใช้ชีวิตสุขสบายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่ท้ายขบวนเต็มไปด้วยผู้คนที่แสนอัตคัด แออัด ต้องประทังชีวิตด้วย ‘แท่งโปรตีน’ ชวนสยอง กระทั่งวันหนึ่งพวกเขาทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาก่อการ ‘ปฏิวัติ’ เพื่อทวงคืนสิ่งที่คิดว่าพวกเขา ‘ควรได้รับ’ กลับคืนมา
เวอร์ชันภาพยนตร์นำแสดงโดย คริส อีแวนส์ ที่วางโล่จากบทกัปตันอเมริกามาถือมีดกระโดดฟันแบบไร้พลังพิเศษในฐานะ ‘หัวหน้า’ ฝ่ายปฏิวัติ, ซงคังโฮ นักแสดงคู่บุญของผู้กำกับบงจุนโฮ ในบทชายปริศนาที่เป็นตัวแปรสำคัญของเรื่อง และทิลดา สวินตัน ที่ถอดชุด ‘แอนเชียนวัน’ มารับบทเป็นตัวแทนจากฝ่ายหัวขบวนที่ต้องปะทะกับฝ่ายปฏิวัติโดยตรง
เท่าที่เห็นจากตัวอย่าง ในเวอร์ชันซีรีส์ได้ ดาวิด ดิกส์ นักแสดงผิวสีจากภาพยนตร์เรื่อง Blindspotting (2018) มารับบทเป็นผู้นำการปฏิวัติ และเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี นักแสดงหญิงที่เคยคว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก A Beautiful Mind (2001) มารับบทชนชั้นสูงที่อาศัยอยู่ในหัวขบวนรถไฟ
โดยทั้งคู่เป็นตัวแทนจากทั้งสองฝั่งของขบวนรถไฟ มาสลับกันพูด ‘ประโยคเดียวกัน’ แต่แสดงภาพชีวิตของผู้คนแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว จนแทบไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาอยู่ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่ขบวนรถไฟเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีการเก็บรายละเอียดที่เป็นภาพจำในเวอร์ชันภาพยนตร์เอาไว้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่แท่งโปรตีน, อะควาเรียม, ชีวิตที่แออัด, ห้องพักสุดหรู, ฉากกรูเข้าไปต่อสู้ในที่แคบ ไปจนถึงบท ‘ลงโทษ’ ที่ดูโหดร้ายมากๆ ทั้งที่มองไม่เห็นเลือดสักหยด ฯลฯ
อีกหนึ่งความพิเศษของซีรีส์ Snowpiecer คือการได้บงจุนโฮมานั่งแท่นเป็นหนึ่งใน Executive Producer ด้วยตัวเอง ร่วมกับ พัคชานอุก อีกหนึ่งผู้กำกับแถวหน้าของเกาหลีที่เคยสร้างผลงานระดับฮอลลีวูดมาแล้ว งานนี้ต้องจับตาดูกันให้ดีว่าผลงานที่มีจุดตั้งต้นจากประเทศเกาหลีในครั้งนี้จะสั่นสะเทือนเวทีซีรีส์ได้มากขนาดไหน
สามารถรับชมตัวอย่างได้ทาง
ห้ามพลาด! ฟอรัมที่เจาะลึก New Normal ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย จากวิทยากรระดับประเทศ 40 คน ซื้อบัตรงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM ที่ https://www.eventpop.me/e/8705-economic-forum
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: