วันนี้ (2 มิถุนายน) สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พี่สาวของ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พร้อมด้วยทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เดินทางเข้ายื่นหนังสือทวงถามความคืบหน้าคดีกับอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)
สิตานันกล่าวว่า วันนี้ตนเดินทางมาเพื่อทวงถามความคืบหน้า หลังจากที่วันเฉลิมหายไปครบ 1 ปีในวันที่ 4 มิถุนายน ซึ่งรัฐและ DSI ต้องมีคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น โดยไม่นิ่งเฉย ซึ่งตนเองจะทำเรื่องนี้ให้เกิดความชัดเจนให้มากที่สุด เพราะจากกรณีการหายตัวไปของวันเฉลิมสามารถบ่งบอกได้ว่า น้องชายหายไปจากประเทศกัมพูชาจริง ทั้งที่มีหลักฐานจำนวนมาก และอยากฝากให้ DSI ทำคดีนี้อย่างเร่งด่วน
“1 ปีเป็นอะไรที่สาหัสสากรรจ์สำหรับคนธรรมดาแบบพี่ มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดนอกราชอาณาจักรแล้วเราโดนทิ้ง และหน่วยงานของรัฐไม่ได้ช่วยเหลือเราเลย เหมือนเราโดดเดี่ยวอยู่คนเดียว ทุกวันนี้คิดว่าพี่เข้มแข็งพอสมควรที่ลุกขึ้นยืนได้ แต่ถ้าหน่วยงานรัฐยังเพิกเฉยพี่ก็จะตามให้ถึงที่สุด เพราะหากปล่อยไว้แบบนี้ในวันข้างหน้าอาจจะเป็นพี่ เป็นคุณ หรือเป็นใครก็ได้” สิตานันกล่าว
ด้าน สุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เผยว่า โดยหลักการรัฐไทยมีหน้าที่ช่วยทุกคนที่มีสัญชาติไทยไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ โดยรัฐมีหน้าที่คุ้มครองดูแล แต่จากการหายตัวไปของคนไทยในต่างประเทศ ปรากฏว่าคดีไม่มีความชัดเจนในการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาตัวผู้กระทำผิด และการหายตัวไปของคนเหล่านี้ไม่ได้หายไปในลักษณะปกติ แต่เกิดจากการกระทำของบางขบวนการที่มีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก เช่น การหายตัวไปของวันเฉลิมที่ปรากฏภาพการอุ้มไปของคนบางกลุ่ม ซึ่งมีการจัดการอาวุธและเครื่องมือต่างๆ จนนำตัวบุคคลหายไปโดยไม่มีใครทราบ ทำให้ยากในการสืบสวนหาผู้กระทำผิด เสมือนเป็นการบังคับบุคคลให้สูญหาย ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย วันนี้จึงเดินทางมายื่นหนังสือถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษในการทำเรื่องที่ยากลำบากให้เกิดความชัดเจนขึ้น
ขณะที่ตัวแทน DSI กล่าวว่า เรื่องวันเฉลิมตอนนี้ได้มีการเร่งรัดคณะทำงานเพื่อทำข้อเท็จจริงให้ปรากฏ เพราะกระบวนการสอบสวนหากเหตุเกิดขึ้นที่ต่างประเทศ อัยการสูงสุดจะเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน
ต่อมาสิตานันเดินทางเข้ายื่นหนังสือที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก เพื่อติดตามสำนวนคดีและสอบถามความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีฯ ขณะที่ตัวแทนอัยการสูงสุดชี้แจงต่อสิตานันว่า เรื่องนี้ได้มีการประสานกับกัมพูชาเพื่อดูว่ามีความผิดเกิดขึ้นที่กัมพูชาแล้วหรือไม่ ปรากฏว่าขณะนี้การดำเนินการของสำนักงานคดีสอบสวนต้องรอข้อเท็จจริงจากกัมพูชาว่ามีคดีอาญาเกิดขึ้นแล้ว จึงจะสามารถดำเนินการต่อได้
“เท่าที่ทราบตอนนี้คือศาลกัมพูชากำลังไต่สวนอยู่ ซึ่งต้องรอในส่วนนี้ หากผลการไต่สวนออกมาว่ามีการสูญหายไป หรือมีความผิดเกิดขึ้นที่นั่น ขบวนการจึงจะสามารถดำเนินการต่อไปได้ ขณะนี้ยังคงมีการติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง แต่ต้องเข้าใจว่าคดีนี้ไม่ใช่คดีอาญาธรรมดา เนื่องด้วยเป็นคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ จึงมีข้อตกลงและกฎหมายระหว่างประเทศที่ต้องปฏิบัติต่อกัน และอาจต้องใช้ระยะเวลา ยืนยันว่าทุกเรื่องที่ร้องทุกข์เข้ามา เป็นไปไม่ได้ที่เรื่องต่างๆ จะไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย” ตัวแทนอัยการสูงสุดกล่าว
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์