วานนี้ (9 มิถุนายน) ศิริกัญญา ตันสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายสรุปพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ในสัดส่วนของพรรคก้าวไกลเป็นคนสุดท้ายว่า การขอกู้เงินของรัฐบาลครั้งนี้เป็นการขอกู้เงินเช่นเดิมเหมือนเมื่อครั้งการขอกู้ที่ 1 ล้านล้านบาทที่มา พร้อมกับรายละเอียด 5 หน้าเหมือนเดิม ตารางกรอบวงเงินว่าจะใช้เงินไปในทิศทางใดบ้าง 1 หน้าเหมือนเดิม ยังคงเป็นการขอกู้แบบเช็คเปล่าเหมือนเดิม คือการไม่มีโครงการ รายละเอียด และเป้าหมาย รวมถึงผลสัมฤทธิ์ที่จะได้รับเหมือนเดิม ในครั้งที่ผ่านมาพอจะอนุโลมให้รัฐบาลได้เนื่องจากเป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลอาจจะคิดโครงการไม่ทันจึงอนุโลมให้คิดโครงการไปพร้อมกู้เงินไป แต่พอมาถึงการกู้ 5 แสนล้านบาทในครั้งนี้รัฐบาลไม่มีข้อแก้ตัวแล้ว
ซึ่งหากรัฐบาลจะขอกู้เงินไปจัดซื้อครุภัณฑ์ โครงการก่อสร้างกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือฟื้นฟูชุมชนในการขุดหนอง ขุดสระ ขอให้รัฐบาลเปลี่ยนจากการกู้เงินมาเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพิ่มเติม หรือว่างบกลางปีเพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรอนุมัติจะเหมาะสมกว่า
ศิริกัญญากล่าวว่า ต่อให้มองในแง่ดีว่ารัฐบาลกู้เงินมาเพื่อแก้วิกฤตทางการคลังที่เกิดขึ้น เนื่องจากรัฐบาลอาจจะชักหน้าไม่ถึงหลัง แต่ไม่สามารถที่จะอ้างได้เนื่องจากก่อนหน้านี้ทางคณะรัฐมนตรีได้เคยออกมาเปิดเผยรายละเอียดในการขอกู้เงิน 5 แสนล้านบาทในครั้งนี้ในมาตรา 6 ระบุว่า จะนำเงินกู้มาบริหารสภาพคล่อง แต่พอนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาปรากฏว่ามาตราดังกล่าวได้หายไป โดยทำแบบนี้ประชาชนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่นำเงินกู้ 5 แสนล้านบาทนี้ไปใช้เพื่อสภาพคล่องของรัฐบาล
ดังนั้นจึงขอร้องรัฐบาลว่าไม่ควรเอาแต่ปกปิดความผิดของตนอยู่อย่างนี้ โดยรัฐบาลอย่ากลัวต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์จนทำให้ประชาชนต้องเข้ามารับภาระที่เป็นความเสี่ยงของรัฐบาลแบบนี้ ซึ่งตามที่สมาชิกหลายท่านได้อธิบายว่านี่อาจจะเป็นการกู้เงินครั้งสุดท้ายของรัฐบาลถ้ายังไม่มีการแก้เพดาน GDP แต่ก็ต้องมาดูว่ารัฐบาลจะแก้กรอบวินัยการเงินการคลังอีกครั้งหรือไม่
ทั้งนี้พรรคก้าวไกลยังคงยืนยันในจุดยืนเดิมคือไม่สามารถที่จะอนุมัติ พ.ร.ก. ฉบับนี้ได้ เพราะว่าเป็นการกู้ที่มีความเสี่ยงที่จะทำให้ประเทศล่มจม เนื่องจากเราได้เห็นรัฐบาลทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“สำหรับแผนงานสาธารณสุขการเบิกจ่ายที่ล่าช้ารัฐบาลได้เคยเข้าไปดูปัญหาดังกล่าวหรือไม่ ว่าหน้างานติดปัญหาอย่างไร และควรที่จะเข้าไปแก้ไขระเบียบให้ผู้ปฏิบัติงานได้หรือไม่ ซึ่งหากรัฐบาลยังคงยืนยันคำตอบเดิมว่าให้เป็นไปตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างแล้วก็ไม่เห็นความจำเป็นว่าประเทศไทยจะต้องมีนายกรัฐมนตรีไว้ทำไมหากท่านไม่กล้าที่จะตัดสินใจในเรื่องที่ยากๆ” ศิริกัญญากล่าว
ศิริกัญญาระบุอีกว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้อนุมัติการซื้อเครื่องช่วยหายใจและวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งตามกรอบเวลาที่รัฐบาลวางไว้จะต้องมีการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ดังกล่าวได้ภายในเดือนมีนาคมและเดือนเมษายนที่ผ่านมาที่ผ่านมา แต่ขณะนี้ล่วงเลยมาจนเดือนมิถุนายนแล้ว พึ่งจะเริ่มเบิกจ่ายการซื้ออุปกรณ์ได้ และการเบิกจ่ายยังไม่ถึง 5% ของงบประมาณที่มีอยู่
จึงไม่แปลกใจว่าทำไมหลายโรงพยาบาลทั่วประเทศออกมาเรี่ยไรเงินบริจาคเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งถ้าประเทศไทยเรามีเครื่องช่วยหายใจ มีห้อง ICU มีห้องความดันติดลบมากกว่านี้ จะมีอีกกี่ชีวิตที่จะไม่ถูกพรากไปเพียงเพราะว่าการบริหารของรัฐบาลที่ล้มเหลว
ขณะที่ด้านเยียวยาก็ล้มเหลว ยิ่งรัฐบาลเยียวยาประชาชนก็ได้เงินน้อยลงไปเรื่อยๆ การระบาดที่หนักขึ้นประชาชนยิ่งได้เงินน้อยลง เช่น ล่าสุดทางเพจเราชนะ ประกาศมาตรการเยียวยาว่าประชาชนจะได้เงินเยียวยาอาทิตย์ละ 200 บาท 200 บาทไม่ควรที่จะเป็นเงินเยียวยา ควรที่จะเรียกว่าค่าขนมเด็กนักเรียนจะดีกว่า
สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ถูกสั่งปิดจากผลกระทบจากในมาตรการต่างๆ ของรัฐทั้งร้านอาหาร ผับ บาร์ พวกเขาไม่สมควรที่จะได้รับเงินเยียวยา แต่พวกเขาควรที่จะได้รับเงินชดใช้ความเสียหายที่รัฐบาลเป็นผู้ก่อแต่ไม่กล้าที่จะรับผิดชอบ ในการสั่งปิดสถานประกอบการดังกล่าวมา 3 รอบแล้ว
ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าพรรคก้าวไกลจะคัดค้านในการกู้ทุกกรณีโดยการกู้เงินมาแก้ไขปัญหาประเทศก็สามารถเป็นไปได้ แต่หากรัฐบาลจะกู้เงินมาแล้วเศรษฐกิจของประเทศไม่ฟื้น ประเทศก็จะล่มแทน
“ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ต้องการเห็นประเทศมีอนาคต เราจะต้องมาร่วมกันขัดขวางเพื่อไม่ให้ พล.อ. ประยุทธ์มาผลาญเงินของประเทศ และยืนยันในฐานะที่เราเป็นผู้แทนนิติบัญญัติว่าถ้าประเทศไทยจะต้องกู้จะต้องเป็นการกู้เพื่อเอาชนะสงครามกับโควิด-19 ในวันนี้ผ่านการกระจายวัคซีน ถ้าประเทศไทยจะต้องกู้จะต้องเป็นการกู้เพื่อประคับประคองชีวิตของประชาชนที่กำลังเดือดร้อนกับปัญหาเศรษฐกิจที่มาพร้อมกับโควิด-19 เป็นการกู้เพื่อต่อลมหายใจของ SMEs เพราะเมื่อวิกฤตจบลงพวก SMEs นี่แหละจะเป็นส่วนสำคัญในการฟื้นฟูประเทศ” ศิริกัญญากล่าว
ศิริกัญญากล่าวด้วยว่า ถ้าประเทศไทยจะต้องมีการกู้เพื่อโอบอุ้มผู้ที่เปราะบางที่สุดในประเทศไทย และเพื่อดูแลผู้สูงอายุ ถ้าประเทศไทยจะต้องกู้จะต้องเป็นการกู้เพื่อพัฒนาศักยภาพของประเทศไทยในอีก 20 ปีหรือ 30 ปีข้างหน้า ทั้งการวางโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต การขยายโครงข่ายไฟฟ้า ประปา และแหล่งน้ำ รวมถึงขนส่งสาธารณะให้เข้าถึงชายขอบที่อยู่ห่างไกล เพื่อลูกหลานเรา สร้างงานสร้างอาชีพให้กับประชาชนได้ทันที
อย่างไรก็ตามยืนยันว่าขอให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถอน พ.ร.ก. กู้เงินฯ ฉบับนี้ออกจากสภา โดยให้กลับไปทำมาใหม่ให้ถูกแบบของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพิ่มเติม หรือถ้าไม่มากเกินกว่าที่จะร้องขอ คือขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีลาออก หรือหากท่านรู้สึกว่าท่านได้ทำทุกอย่างเต็มที่ ทำทุกอย่างดีแล้ว แต่ผลลัพธ์มันยังไม่เปลี่ยน ผลลัพธ์ยังเป็นแบบเดิมอยู่ ปัญหาก็น่าจะอยู่ที่ท่านนายกฯ
“หรืออีกทางเลือกหนึ่งคือให้ท่านยุบสภา แล้วกลับไปถามประชาชนอีกครั้ง ว่าประชาชนอยากที่จะให้ผู้ที่เข้ามากู้และใช้เงินเป็นใคร” ศิริกัญญากล่าวในที่สุด
พิสูจน์อักษร: ชนเนตร ลอยครุฑ