ความท้าทายใหญ่ของ ‘สิงห์ เอสเตท’ ในช่วงที่ผ่านมาคือ การที่โครงการอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมไม่สามารถ ‘ปั๊มเงิน’ ได้ตามที่คาด ยิ่งช่วงโควิดที่ธุรกิจโรงแรมต้องสะดุด ทำให้กระแสเงินสดในภาพรวมขาดมือ
กลายเป็นที่มาของการทดลองโมเดลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบใหม่นั่นคือ ‘Cluster Home’ ซึ่งจะอยู่บนที่ดินขนาดไม่เกิน 10 ไร่ ในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ และจะสร้างบ้านไม่เกิน 10 หลังต่อโครงการ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- สิงห์ เอสเตท ประกาศรายได้ปี 65 กว่า 12,530 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เตรียมจ่ายปันผล 0.02 บาทต่อหุ้น
- ‘สิงห์ เอสเตท’ บุกตลาดบ้านเดี่ยวระดับ Super Luxury เปิดตัว ‘ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ 32’ เคาะราคาขาย 65-180 ล้านบาท
- ‘สิงห์’ เปิดตัวบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้รายแรกของเอเชีย นำร่องกลุ่มเครื่องดื่ม สานต่อแผนธุรกิจ-สร้างความยั่งยืน
แผนดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนจากการใช้พื้นที่ทำคอนโดที่ต้องใช้เวลา 3 ปีกว่าจะ ‘ทำเงิน’ เปลี่ยนมาทำบ้านเดี่ยวที่ใช้เวลาไม่เกิน 1 ปีก็สร้างรายได้เข้ากระเป๋าได้แล้ว ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ระยะสั้นอย่างรวดเร็ว
ปี 2566 จะมีโครงการ ‘Cluster Home’ อยู่ 2 โครงการ ราคายูนิตละ 15 ถึงมากกว่า 100 ล้านบาท โดยหนึ่งในโครงการที่น่าจับตาคือ Flagship Cluster Home Project จะตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่ในซอยสุขุมวิท 43 ซึ่งจะประกอบด้วยบ้านเดี่ยวเพียง 2 หลังในราคา 550 ล้านบาทต่อยูนิต
นอกจากนี้ สิงห์ เอสเตท ยังมีแผนที่จะเปิดโครงการอสังหาริมทรัพย์อีก 3 โครงการในทำเลรอบนอกเมือง ทำให้รวมแล้วทั้งหมดมีมูลค่ารวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท
“เราคาดว่าโครงการที่พักอาศัยในปีนี้จะมีรายได้ที่เติบโตขึ้นกว่า 70% หรือคิดเป็นตัวเลขราว 4 พันล้านบาท” ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S กล่าว
ในส่วนของธุรกิจนี้ สิงห์ เอสเตท ได้ขยายสัดส่วนการถือครองโครงการ The ESSE Sukhumvit 36 โดยใช้เงินราว 300 ล้านบาทในการซื้อหุ้นจาก Hongkong Land การซื้อดังกล่าวจะทำให้สามารถรับรู้รายได้และกำไรจากโครงการดังกล่าวเต็ม 100%
ด้านกลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ ‘เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท’ หรือ ‘SHR’ จะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ถูกคาดหวังว่าจะโดดเด่นอย่างชัดเจนในปีนี้ โดยโรงแรมในเครือที่ประเทศไทยทั้ง 4 แห่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ คาดรายได้เติบโตถึง 60% จากปีก่อนหน้า ในขณะที่รายได้จากโรงแรมในมัลดีฟส์จะเติบโตขึ้น 30% หนุนรายได้รวมทะลุ 1 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตขึ้นกว่า 20% ทั้งนี้ ในปี 2566 จะเน้นการเติบโตของอัตราการเข้าพักรวมแตะระดับ All-time High ที่ 75%
ในช่วงปลายปีจะมีการเปิดตัว SO/ Maldives โรงแรมไลฟ์สไตล์หรูระดับ 6 ดาว ในโครงการครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง SHR และพันธมิตรทางธุรกิจ คาดผลประกอบการจะสร้างกำไรให้กับบริษัทฯ ในระยะยาวได้ในอีกทางหนึ่ง
ขณะที่กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ในปี 2566 ตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
ภาพรวมปี 2566 จะลงทุน 4-5 พันล้านบาท สำหรับธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ซึ่งรวมถึงการซื้อที่ดินใหม่ สำหรับโรงแรมและนิคมอุตสาหกรรมในอ่างทอง จะใช้งบลงทุนอีกธุรกิจละ 1 พันล้านบาท
“ปีนี้รายได้รวมของสิงห์ เอสเตท จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 34% หรือมากกว่า 1.67 หมื่นล้านบาท ส่งผลต่ออัตรากำไร และผลตอบแทนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย”
สำหรับปีที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตท สร้างรายได้ 1.25 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตขึ้นจากปีก่อนประมาณ 62% โดยมีปัจจัยหลายประการที่ช่วยเกื้อหนุนการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นยอดจองและยอดโอนกรรมสิทธิ์ภายในปี 2565 ของโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส ซึ่งสูงถึง 77% และ 30% ตามลำดับ
ธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ SHR สามารถทำรายได้ทะลุเป้าหมายอยู่ที่ 8.7 พันล้านบาท โดยอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Rate: ADR) ปรับเพิ่มขึ้นได้กว่า 28% จากปีก่อนหน้า และกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ มีอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy) ที่ไต่ระดับสูงขึ้น ขณะที่ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในปีก่อนได้กว่า 77 ไร่