×

การต่างประเทศของไทยในรัฐบาลอนุทิน และโจทย์เร่งด่วนของสีหศักดิ์

10.09.2025
  • LOADING...
sihasak-foreign-minister-mission

นโยบายการต่างประเทศ ถือเป็นหนึ่งในโจทย์สำคัญของรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี โดย ‘หัวหอก’ ที่จะมารับหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คือสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว นักการทูตมากประสบการณ์ที่ผ่านงานสำคัญ ทั้ง เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสำนักงานสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา, ประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ, อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศในยุครัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน

 

ความท้าทายในการเข้ารับตำแหน่งของสีหศักดิ์ คือภารกิจเร่งด่วนเฉพาะหน้าที่เขาต้องรีบดำเนินการ ภายใต้กรอบเวลาอันจำกัดของรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่อาจจะจบอายุการทำงานในเวลาเพียง 4 เดือน ตามที่ให้คำมั่นไว้กับพรรคประชาชน ก่อนที่จะมีการยุบสภาและเปิดทางไปสู่การเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่

 

โดยคำถามสำคัญคือในเวลาอันสั้นนี้ อะไรที่เขาต้องลงมือทำก่อนเป็นลำดับแรกๆ และนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลชุดนี้ จะสามารถสร้างผลงานที่น่าจดจำและชูบทบาทการทูตไทยให้กลับมาโดดเด่นอีกครั้งได้หรือไม่

 

ทิศทางการต่างประเทศและความท้าทายหลักของไทย

 

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา นโยบายการต่างประเทศของไทยตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์ ต่อการดำเนินนโยบายที่แม้จะมุ่งเน้นความเป็นกลาง (Neutral) ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดมากจนเกินไป และยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นแกนหลัก แต่ในขณะเดียวกันบทบาทและความสำคัญของไทยในเวทีโลก กลับไม่ค่อยโดดเด่น ไร้บทบาทนำ และหลายครั้งถูกมองว่า เป็นการเดินหมากอย่าง ‘เชื่องช้า’ และ ‘ไม่ตอบโจทย์’ เช่นกรณีความขัดแย้งชายแดนไทยและกัมพูชา 

 

การดำเนินนโยบายต่างประเทศ ในภาวะที่สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกขณะนี้ เต็มไปด้วยความผันผวนและแบ่งขั้วแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยการเข้ามารับไม้ต่อของรัฐบาลอนุทินและสีหศักดิ์ นั้นต้องฝ่าฟันมรสุมและความท้าทายเหล่านี้ท่ามกลางความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการที่สำคัญอย่างเป็นรูปธรรม

 

รศ. ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า โจทย์ท้าทายด้านการต่างประเทศของไทยในรัฐบาลชุดใหม่นี้ แบ่งออกเป็น 2 มิติใหญ่ ได้แก่

 

1.มิติด้านพื้นที่ของนโยบายต่างประเทศ ซึ่งกลุ่มที่เร่งด่วนที่สุดคือ กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกัน ทั้ง กัมพูชา เมียนมา มาเลเซีย และสปป.ลาว ตามด้วยกลุ่มสมาชิกอาเซียน กลุ่มมหาอำนาจใกล้บ้าน เช่น จีน อินเดีย สหรัฐฯ และกลุ่มนานาชาติ เช่น ยุโรป

 

2.มิติด้านประเด็นของนโยบายต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงความสัมพันธ์ที่ก้าวหน้ากับทุกประเทศ โดยเฉพาะมหาอำนาจคู่ขัดแย้ง และการสร้างความยืดหยุ่นและยั่งยืน เช่นกระชับความสัมพันธ์อาเซียน หรือเปิดความสัมพันธ์กับประเทศใหม่ ตลอดจนการถ่วงดุลอำนาจและดำรงความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์ ซึ่งไทยควรเข้าร่วมและมีบทบาทนำในกลุ่มพหุภาคีเล็กๆ ที่เห็นพ้องต้องกัน 

 

นอกจากนี้ เขามองว่าการยกระดับกระทรวงการต่างประเทศ เช่น การเพิ่มงบประมาณ, บุคลากร ตลอดจนปรับบทบาทนักการทูตให้เน้นการหาข้อมูลเชิงลึก แทนภารกิจรองอื่นๆ เช่น การออกวีซ่า ถือเป็นอีกภารกิจที่สำคัญเช่นกัน โดยว่าที่รัฐมนตรีต่างประเทศอย่างสีหศักดิ์นั้น ได้รับการยอมรับจากคนในกระทรวง ซึ่งจะช่วยปลดล็อกกระทรวงการต่างประเทศจากการเป็น ‘กระทรวงเกรด C’ ให้เป็นกระทรวงสำคัญระดับต้นได้

 

ทางด้าน รศ. ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ให้ความเห็นว่า โจทย์ความท้าทายใหญ่ของประเทศไทยขณะนี้คือการที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่ไม่เป็นไปตามรูปแบบปกติ โดยประชาชนต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันไม่น้อยต่อรัฐบาลชุดใหม่

 

เขาชี้ว่า ‘Triple Challenges’ หรือความท้าทาย 3 มิติของรัฐบาลอนุทินนั้น หลักๆ ได้แก่ 

 

1.ความมั่นคงและการต่างประเทศ

2.เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองภายในของไทย

3.ความท้าทายภายในของพรรคการเมือง

 

รศ. ดร.ปณิธานมองว่า ผู้กำหนดนโยบายที่มีความ ‘เข้าใจ’ และ ‘รอบด้าน’ ในการรับมือความท้าทายทั้ง 3 มิติและสามารถหาความสมดุลใหม่ได้ จะประสบความสำเร็จได้พอสมควร 

อย่างไรก็ตาม ความกังวลในเรื่องความมั่นคงและการต่างประเทศนั้น ยังมีความไม่ชัดเจนว่าผู้นำรัฐบาลชุดใหม่ จะเข้าใจหรือไม่ว่า ขณะนี้ไทยอยู่ในสภาวะที่ไม่ค่อยมีเพื่อนเหมือนในอดีต อีกทั้งความน่าสนใจยังลดลงไปมากในทุกด้าน ทั้งด้านภูมิศาสตร์ การเมือง และตัวผู้นำ โดยหากรัฐบาลชุดใหม่เข้าใจเรื่องนี้ ก็จะเข้าใจว่า ทำไมการส่งออกและการท่องเที่ยวถึงไม่ดี ทำไมต่างชาติจึงมองว่ามีความเสี่ยงในการคบค้าสมาคมกับไทยมากขึ้น

สำหรับมิติด้านความมั่นคงและการต่างประเทศนั้น รวมถึงสภาวะความขัดแย้ง สงคราม และความท้าทายใหม่ๆ ที่เกิดจากการเผชิญหน้ากันระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ตลอดจนสงครามในภูมิภาคต่างๆ รวมถึงภาษีการค้า และการรวมกลุ่มกันใหม่ในรูปแบบต่างๆ 

 

รศ. ดร.ปณิธาน มองว่า นโยบายการต่างประเทศที่เป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาลชุดใหม่ แบ่งออกเป็น  3 ประเด็นหลักๆ ได้แก่

 

1.การกระชับและปรับความสัมพันธ์ให้ได้สมดุลใหม่กับมหาอำนาจ เพื่อผลประโยชน์ของคนไทย เช่น การลดอัตราภาษี เพิ่มพลังงานราคาถูก และเพิ่มมิตรเพื่อสกัดปัญหาต่างๆ ที่ประเทศเหล่านี้อาจสนับสนุนคู่กรณีของเรา

 

2.การฟื้นฟูอาเซียน และกลไกนานาชาติให้เข้มแข็ง ไม่ถูกครอบงำโดยประเทศใดประเทศหนึ่ง

 

3.การแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ตามแนวชายแดน ทั้งกับกัมพูชา เมียนมา และมาเลเซีย ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัวและหลากหลายมิติ โดยทั้งหมดนี้ในระยะสั้นต้องทำให้เกิดเสถียรภาพและเปิดประตูสู่สันติภาพให้ได้

 

ประเด็นความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา นั้นเขามองว่าการเข้ามาทำหน้าที่ของสีหศักดิ์ ที่มีความชำนาญเรื่องการทูตแบบปรองดอง โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในเชิงการสร้างความร่วมมือทางด้านการช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม เช่น แนวคิดระเบียงมนุษยธรรม หรือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยและส่งความช่วยเหลือให้กับประชาชนเมียนมา ที่เขาเคยผลักดันในช่วงรัฐบาลเศรษฐา ก็อาจจะนำมาดัดแปลง ใช้กับรัฐบาลอนุทิน ในกรณีของกัมพูชาได้ คือ เปิดพื้นที่มนุษยธรรมให้กับชาวกัมพูชาที่อยากจะกลับคืนสู่ถิ่นฐานตนเองในประเทศกัมพูชา โดยที่ไม่รุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยอีก

 

อีกอย่างที่สำคัญ คือการปรับความสัมพันธ์ไทยและกัมพูชา ให้กลับสู่ระดับปกติ โดยการที่ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ส่งสาสน์แสดงความยินดีต่อการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอนุทิน ถือเป็นสัญญาณบวกแม้จะเป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ แต่ก็อาจจะนำมาสู่การคืนความสัมพันธ์สู่ระดับปกติในชั้นแรกได้

 

“ถ้าความสัมพันธ์ในระดับปกติกลับมาได้ หมายความว่า จะมีเอกอัครราชทูตที่มีอำนาจเต็ม มีกลไกต่างๆ ที่ทำงานอย่างเป็นระบบมากขึ้น ความสัมพันธ์กลับไปอย่างเป็นทางการเต็มรูปแบบเหมือนเดิม ก็จะเปิดโอกาสให้การแก้ปัญหาในกรอบต่างๆ ดำเนินไปได้” เขากล่าว 

 

รศ. ดร.ปณิธาน ชี้ว่า หากความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาฟื้นคืนกลับมา ก็อาจจะมีประเด็นที่ผลักดันเป็นประเด็นเฉพาะเรื่องได้ เช่น การลดกำลังหรือปรับกำลังทหาร รวมถึงการเปิดพื้นที่ทางด้านมนุษยธรรม 

 

ซึ่งความท้าทายหลังจากนั้นคือการกลับไปสู่กรอบการเจรจาพูดคุย แต่อาจจะเผชิญอุปสรรคในระยะสุดท้าย เรื่องการจัดทำหลักเขตแดน การปักปันชายแดน และการกลับมายึดมั่นในกลไกทวิภาคี 

 

ขณะที่คำถามที่คนไทยจำนวนมากสงสัย เช่น การยกเลิก MOU43 หรือ MOU44 นั้น ผู้ที่จะตัดสินใจน่าจะต้องเป็นนายกรัฐมนตรี

 

อย่าติดกับดักข้าราชการประจำ

 

รศ. ดร.ปณิธาน กล่าวว่าหนึ่งในข้อได้เปรียบของรัฐบาลชุดนี้ คือการใช้บุคคลที่มีความเป็นมืออาชีพ มีความรู้ มีความชำนาญ ได้รับการยอมรับในระดับหนึ่งมารับตำแหน่งรัฐมนตรีในหลายกระทรวงสำคัญ แต่หลายคนไม่ใช่ผู้นำทางการเมืองมาก่อน และบางคน เช่น สีหศักดิ์ ที่ผ่านมาถือเป็นนักปฏิบัติ และเป็นข้าราชการประจำมายาวนาน ซึ่งก่อให้เกิดคำถาม ว่าจะได้รับการยอมรับจากฝ่ายผู้นำของเพื่อนบ้าน ของนานาชาติ และในเวทีระหว่างประเทศหรือไม่ โดยการแก้ไขกรณีของสีหศักดิ์นั้น นายกรัฐมนตรีอนุทิน อาจจะต้องให้ความสำคัญกับรัฐมนตรีต่างประเทศให้มากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม รศ. ดร.ปณิธาน ชี้ว่า การทำหน้าที่ของรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ จะต้องไม่ติดกับดักในกรอบของข้าราชการประจำ และการทูตแบบปกติ ในสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรที่ผกผันหรือแหลมคม ซึ่งกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชานั้นอาจไม่ใช่แค่การเจรจาบนโต๊ะระหว่างไทยกับกัมพูชาอย่างเดียว แต่ต้องจัดระเบียบชาวกัมพูชาในไทยด้วย

 

ถ้าเราบอกว่านี่เป็นเรื่องของสภาความมั่นคงแห่งชาติหรือกระทรวงแรงงาน ก็จะกลับไปในกรอบของข้าราชการประจำที่ทำตามระบบ แต่หากดูตัวอย่างในสหรัฐฯ เช่น กรณีของ มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศที่ได้รับอาณัติจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้จัดระเบียบชาวต่างด้าวจนนำไปสู่การเนรเทศคนจำนวนมาก นั่นคือการทำงานในยามวิกฤต ที่ได้รับอาณัติจากฝ่ายการเมืองที่ประชาชนเลือกเข้ามา” เขากล่าว 

 

ขณะที่มองว่าเป้าหมายการดำเนินนโยบายต่างประเทศในกรอบเวลา 4 เดือน นอกจากจะทำให้สถานการณ์ด้านการต่างประเทศต่างๆ มีเสถียรภาพแล้ว ยังจะต้องเปิดช่องทางใหม่ๆ สำหรับรัฐบาลที่จะเข้ามาภายในเวลา 5–6 เดือนข้างหน้า ให้ดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องด้วย

 

มุ่งฟื้นฟูความสัมพันธ์มหาอำนาจ

 

ท่าทีของไทยต่อมหาอำนาจนั้น เป็นอีกภารกิจที่รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ถูกจับตามอง โดย รศ. ดร.ปณิธาน เห็นด้วยว่าไทยต้องฟื้นฟูความสัมพันธ์กับทุกมหาอำนาจอย่างชัดเจนและใกล้ชิด เพราะที่ผ่านมามหาอำนาจแทบทุกประเทศต่างมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความตั้งใจจริงของไทย

 

กรณีสหรัฐฯ นั้นเขามองว่าไทยควรต้องเข้าหาสหรัฐฯ ในรูปแบบใหม่ๆ มีการประชุมและเสนอความร่วมมือใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์กับไทย 

 

โดยท่าทีของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเลือกส่งผู้นำระดับสูงไปเยือนประเทศเพื่อนบ้านของไทย แต่ไม่มาเยือนไทยนั้น เขามองว่า รัฐบาลชุดใหม่ต้องปรับความสัมพันธ์ให้เกิดการเยือนและกระชับความสัมพันธ์

 

ส่วนกรณีจีนก็ต้องปรับความสัมพันธ์เพื่อหาความสมดุลใหม่ โดย รศ. ดร.ปณิธาน ชี้ว่า การที่ไทยถูกมองข้ามในหลายกรณี อาทิ การประชุมสุดยอดผู้นำองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ ซึ่งจีนจัดขึ้นที่เมืองเทียนจิน เมื่อไม่กี่วันมานี้ อาจจะไม่เป็นผลดีต่อไทย แม้จะมีผู้ที่มองว่า ไทยไม่ได้สนใจที่จะไปเข้าร่วมอยู่แล้ว

 

กรณีอินเดียนั้น รศ. ดร.ปณิธาน ชี้ว่าไทยห่างเหินกับอินเดียมานานเกินไป ทั้งที่จริงๆ แล้วเราควรได้ประโยชน์จากอินเดียหลายเรื่อง เช่น เรื่องตลาด เทคโนโลยี หรือพลังงาน

 

ขณะที่กรณีรัสเซีย เขามองว่าเป็นโอกาสของไทยในหลายเวทีและไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัสเซียมาตั้งแต่อดีต

 

ด้าน รศ. ดร.ปิติ มองว่าการฟื้นความสัมพันธ์ที่ก้าวหน้ากับทุกประเทศ โดยเฉพาะมหาอำนาจที่เป็นคู่ขัดแย้งกันถือเป็นสิ่งสำคัญ แต่ต้องนิยามผลประโยชน์และเส้นแดงของไทยให้ชัดเจนว่าอะไรคือ ‘ผลประโยชน์ที่ต้องปกป้อง’ และอะไรคือ ‘สิ่งที่ยอมให้ใครล่วงละเมิดไม่ได้’

 

ในด้านความร่วมมือกับมหาอำนาจน้ัน เขามองว่าไทยยังคงต้องพยายามเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและลดการพึ่งพาจากมหาอำนาจ โดยกระทรวงการต่างประเทศต้องทำงานร่วมกับกระทรวงด้านเศรษฐกิจ เพื่อลดการขาดดุลกับจีน (เน้นสินค้าเกษตรแปรรูป) และลดการเกินดุลกับสหรัฐฯ

 

ขณะเดียวกัน รัฐบาลชุดใหม่ต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบภายใน โดยใช้ประโยชน์จากการเป็นพันธมิตรทั้งใน BRICS และ OECD เพื่อยกระดับประเทศให้ยืดหยุ่นและยั่งยืน และเพิ่มความร่วมมือทางการเงิน โดยลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ และเพิ่มทองคำสำรอง ซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ

 

ส่วนความร่วมมือในภาคประชาชนกับชาติมหาอำนาจนั้น เขามองว่าควรเพิ่มความเชื่อมโยงภาคประชาชน (Soft Power) โดยเน้นการสร้างมิตรภาพและความช่วยเหลือเพื่อนบ้านผ่านมูลนิธิไทย, หน่วยงานวัฒนธรรม, และสถานทูต

 

ขณะที่ความร่วมมือด้านกลาโหม ควรขยายการซ้อมรบและความร่วมมือแบบ Non-Traditional Security เช่น เรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์, การต่อต้านการค้ามนุษย์, ต่อต้านก่อการร้าย, แก๊งคอลเซ็นเตอร์ 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising