×

Sicario: Day of the Soldado เครียดน้อยลง ระเบิดมากขึ้น และเคมีของเบนิซิโอ-โบรลิน

28.06.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

3 Mins. Read
  • แฟนหนัง Sicario ภาคแรก อาจต้องลดความคาดหวังก่อนดูเล็กน้อย เพราะ Sicario: Day of the Soldado เลือกที่จะลดบรรยากาศตึงเครียดบีบคั้นลง และชดเชยด้วยการระเบิดภูเขาเผากระท่อม ที่จัดเต็มทั้งรถกันกระสุน เฮลิคอปเตอร์ ปืนกลและระเบิด RPG เข้ามาแทน
  • เนื้อเรื่องหลักยังเหมือนภาคแรกคือการต่อสู้กับแก๊งค้ายาเสพติด แต่ได้เพิ่มปัญหาการลักลอบเข้าเมืองมาเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจ
  • เคมีของ จอช โบรลิน และ เบนิซิโอ เดล โทโร คือสิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้

บอกก่อนว่าสำหรับแฟนหนัง Sicario ภาคแรกที่ติดใจกับความอึดอัด หายใจไม่ออกและเหงื่อซึมตลอดเวลา อาจจะต้องลดความคาดหวังลงเล็กน้อยก่อนดูภาค 2 อย่าง Sicario: Day of the Soldado เพราะเมื่อขาดผู้กำกับสายบีบคั้นอารมณ์อย่าง เดนนิส วิลล์เลอเนิฟ ที่ติดงานเรื่อง Arrival และ Blade Runner 2049 บรรยากาศแบบนั้นก็ลดลงไปมากพอสมควร

 

โดย สเตฟาโน ซอลลิมา ที่รับหน้าที่กำกับในภาคนี้เลือกที่จะเพิ่มดีกรีความ ‘เดือด’ ให้กับภารกิจล่าบนชายแดนอเมริกา-เม็กซิโก ด้วยการระเบิดภูเขาเผากระท่อม ที่จัดเต็มทั้งรถกันกระสุน เฮลิคอปเตอร์ ปืนกล และระเบิด RPG เข้ามาแทน

 

 

เนื้อเรื่องหลักยังเหมือนภาคแรกคือการต่อสู้กับแก๊งค้ายาเสพติด แต่คราวนี้ได้เพิ่มปัญหาการลักลอบเข้าเมือง อีกหนึ่งธุรกิจที่ทำรายได้มหาศาลไม่แพ้การค้ายา แต่มีข้อได้เปรียบคือหากถูกจับได้ ก็เพียงแค่รอเวลาส่งตัวผู้อพยพกลับบ้าน และหาจังหวะกลับมาใหม่อีกครั้ง ส่วนคนในแก๊งมีหน้าที่เป็นนายหน้าคอยรับเงิน ขับรถไปส่งที่ชายแดนและรอส่งคนมารับจากอีกฝั่งเท่านั้น โอกาสที่จะถูกจับเท่ากับศูนย์

 

แต่คราวนี้ภารกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ แยบยลมากขึ้น จากที่แกะรอย ตามล่าในภาค 1  เปลี่ยนมาเป็นการสร้างสถานการณ์ลักพาตัวลูกสาวของราชายาเสพติดเม็กซิโก เพื่อให้คิดว่าเป็นฝีมือของแก๊งศัตรู และปล่อยให้ทั้ง 2 ฝ่ายสู้กันเองโดยที่ไม่ต้องลงแรง และแน่นอนว่าแกนนำในการปฏิบัติภารกิจจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก แมตต์ เกรเวอร์ (รับบทโดย จอช โบรลิน) และอเลฮานโดร (เบนิซิโอ เดล โทโร) คู่หูทหารหาญจากภาคแรกที่กลับมาร่วมมือกันอีกครั้ง

 

ตรงนี้กลายเป็นจุดขัดแย้งแรกของหนัง เพราะที่ฟังแผนการตอนแรก เราคิดว่าจะได้เห็นปฏิบัติการที่ลึกล้ำ ชาญฉลาด ชิงไหวชิงพริบกันอย่างสูสีระหว่างแก๊งค้ายากับทหารอเมริกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นการพับสนามบุกของทีมปฏิบัติภารกิจที่ทำอะไรก็ง่ายดายไปหมด จนเรารู้สึกว่าความยิ่งใหญ่ของราชายาเสพติดที่ปูเอาไว้ตั้งแต่ภาคแรกแทบไม่มีความหมายหลงเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว แต่ยังโชคดีว่าฉากแอ็กชันลองเทกในทะเลทรายนั้นทำได้ดี น่าตื่นเต้นจนเราพอจะลืมความขัดแย้งก่อนหน้านี้ได้อยู่บ้างเหมือนกัน

 

แต่ถึงแม้ในภาพรวมของฉากแอ็กชันในภาค 2 จะทำได้ค่อนข้างดี แต่ถ้าวัดกันที่ฉากไฮไลต์ของหนัง เราก็ยังยกให้บรรยากาศอึดอัดบนโต๊ะกินข้าวก่อนที่อเลฮานโดรจะลั่นกระสุนนัดสุดท้าย คือฉากแอ็กชันที่ดีที่สุดในซีรีส์ Sicario อยู่ดี

 

 

จุดที่สองที่แฟนภาคแรกอาจต้องลดความคาดหวังลงอีกหน่อย คือตัวละครอเลฮานโดรเวอร์ชันใหม่ ที่ถูกปรับลดระดับความเยือกเย็นลงไปเยอะพอสมควร แต่ตรงนี้อาจจะไม่สามารถเรียกว่าผิดพลาดเสียทีเดียว เพราะการที่เราได้เห็นมุมอบอุ่น อ่อนโยน หรือรอยยิ้มเล็กๆ ของนักฆ่าหน้านิ่งจากภาคแรกก็น่าสนใจ รวมทั้งการเห็นตัวละครอย่างอเลฮานโดรดิ้นอย่างทุรนทุรายบนพื้นพร้อมกับเลือดและทรายที่เปื้อนเต็มตัว ก็เป็นอะไรที่เกินความคาดหมายของเราอยู่เหมือนกัน และในภาพรวมทั้งหมด เบนิซิโอ เดล โทโร ก็ยังเป็นคนที่รักษาเสน่ห์ของอเลฮานโดรไว้ได้ ไม่ว่าตัวละครนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม  

 

 

อีกหนึ่งคนที่โดดเด่นเกินตัวพระเอกไปพอสมควร และคงต้องยกให้เป็นปีนี้เป็นปีทองของ จอช โบรลิน จริงๆ เพราะหลังจากกวนได้ใจ โหดได้โล่ จากบท เคเบิล ใน Deadpool 2 และบทธานอส บอสหัวมันม่วงใน Avengers: Infinity War คราวนี้เขาก็ทำหน้าที่หัวหน้าปฏิบัติการได้อย่างเด็ดขาด ถึงแม้บทจะถูกเกลี่ยไปให้อเลฮานโดรเป็นส่วนใหญ่ และบทที่เขาก็ได้รับก็อาจจะไม่ได้เรียกว่าเป็น ‘คนดี’ ได้เต็มปาก แต่เราจะรู้สึกเชื่อได้ทุกครั้งที่เขาสั่งการ ต่อรอง ต่อสู้

 

ยิ่งเวลาแมตต์ เกรเวอร์และอเลฮานโดรเข้าฉากด้วยกันที่เรารู้สึกได้ว่าเคมีของนักแสดงรุ่นใหญ่สองคนนี้เข้ากันได้ดีสุดๆ และยกให้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้ แม้กระทั่งฉากตกลงร่วมภารกิจใจในห้องของอเลฮานโดรที่หลายคนอาจรู้สึกหงุดหงิดเพราะทำตัวโลว์เทค ไม่สมกับหน่วยปฏิบัติการลับ แต่สำหรับเรารู้สึกว่าการพูดคุยกันเงียบๆ แบบนี้นี่ล่ะ ที่แสดงถึงความสัมพันธ์แบบอะนาล็อกได้เหมาะสมกับทั้งคู่ที่สุดแล้ว

 

 

เรื่องสุดท้ายที่ติดใจเราพอสมควร คือการเลือกทิ้งตอนจบเพื่อเปิดทางไปสู่ภาค 3 แบบตั้งใจมากๆ ตั้งใจจนเราแอบรู้สึกเหมือนนั่งรถมาด้วยกันโดยที่เราไม่รู้ว่าอีกไกลแค่ไหนจะถึงปลายทาง แล้วอยู่ดีๆ ก็ถูกปล่อยลงจากรถ แล้วบอกให้รอขึ้นรถคันต่อไป

 

ทีมผู้สร้างอาจจะมั่นใจมาก เพราะความสำเร็จจากภาคแรก พอจะยืนยันได้ว่า Sicario คือหนังที่สามารถสร้างจักรวาลไปได้อีกไกล เลยตัดสินใจหั่นหนังออกเป็น 2 ภาค โดยที่ไม่ต้องรอดูด้วยซ้ำว่าฟีดแบ็กจะออกมาเป็นอย่างไร

 

ข้อดีก็คือ หนังมีเวลาเล่ารายละเอียดในภาคนี้เยอะมาก (บางจุดอาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ) และ สเตฟาโน ซอลลิมา ก็กำกับภาคนี้ออกมาได้ดีในแบบหนังแอ็กชันที่ดูเพลินๆ สนุก สะใจไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่การเปลี่ยนโทนหนังจากภาคแรกไปพอสมควร รวมทั้งการถูกทิ้งให้ค้างไว้กลางทางแบบไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน อาจทำให้บางคนตัดสินใจไม่ซื้อตั๋วรอบต่อไปเมื่อรถอีกคันมาถึงก็ได้

FYI
  • ในแต่ละปีมีคนลักลอบเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาทางฝั่งชายแดนเม็กซิโกมากถึงปีละ 140,000 คน
  • Sicario ภาคแรก ทำรายได้ทั่วโลกอยู่ที่ 84.9 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างเพียงแค่ 30 ล้านเหรียญ พร้อมกับเข้าชิงรางวัลออสการ์อีก 3 สาขา คือ ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม และตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม
  • Sicario ภาคสามกำลังอยู่ในขั้นตอน Pre-Production เบื้องต้นวางตัวผู้กำกับคนเดิมคือ สเตฟาโน ซอลลิมา และคาดว่า เอมิลี บลันต์ นักแสดงนำจากภาคแรกอาจจะได้กลับมาร่วมปฏิบัติภารกิจอีกครั้งในภาคนี้ด้วย
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X