การต่อสู้ครั้งใหม่กำลังก่อตัวขึ้นในตลาดอีคอมเมิร์ซของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อ Sea ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสิงคโปร์ กำลังเผชิญหน้ากับคู่แข่งรายใหม่อย่าง TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ที่เป็นอย่างนั้นเพราะ Shopee ซึ่งมีเจ้าของเป็น Sea ถือเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำของภูมิภาคมาอย่างยาวนานและกินส่วนแบ่งตลาดกว่าครึ่ง โดยมีคู่แข่งอย่าง Lazada และ Tokopedia ที่รุกคืบเข้ามาเช่นกัน
แต่ด้วยการเข้ามาของ TikTok Shop ทำให้เสือนอนกินเหล่านี้ร้อนรนขึ้นมา เพราะแม้ TikTok จะเป็นที่รู้จักจากวิดีโอสั้นที่ให้ความบันเทิงเป็นหลัก แต่การเปิดตัว TikTok Shop ในอินโดนีเซีย เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า เส้นแบ่งระหว่างโซเชียลมีเดียและอีคอมเมิร์ซกำลังพร่ามัว
ด้วยการใช้ประโยชน์จากฐานผู้ใช้จำนวนมหาศาลและพลังของเนื้อหาวิดีโอแบบสั้น TikTok หวังที่จะเข้ามากินก้อนเค้กที่ชื่อ ‘อีคอมเมิร์ซ’
ฟอร์เรสต์ ลี ซีอีโอของ Sea ตระหนักถึงความท้าทายและโอกาสที่เข้ามา โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสตรีมมิงและการทำงานร่วมกันกับบุคคลหรืออินฟลูเอ็นเซอร์บนโลกออนไลน์ ตัวอย่างเช่น Shopee มีกิจกรรมสตรีมมิงแบบสดในอินโดนีเซีย ซึ่งมียอดขายพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก มีปริมาณธุรกรรมเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยรายวันถึง 12 เท่า ในขณะที่มีผู้ซื้อเพิ่มขึ้น 10 เท่า
โดยพื้นฐานแล้ว Sea กำลังพูดว่า “เราเห็นแนวโน้มและเราพร้อมที่จะพัฒนา” พร้อมกับเสริมว่า “ด้วยมุมมองเชิงบวกเหล่านี้เราจึงได้เริ่มต้นและจะดำเนินการต่อไป เพื่อเพิ่มการลงทุนในการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในตลาดของเรา”
หลังจากการประกาศเพิ่มการลงทุน หุ้นของ Sea ก็ได้รับผลกระทบ โดยลดลงอย่างมาก 28% ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก เพราะนักลงทุนกังวลเรื่องการขาดทุนที่อาจจะต้องติดตัวเองไปอีกสักระยะ
แม้ว่าซีอีโอของ Sea จะมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับลู่ทางการเติบโตที่เป็นไปได้ แต่ก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะสั้นต่อการเงิน เพราะการลงทุนในโครงการที่ริเริ่มใหม่ๆ อาจหมายถึงการทำกำไรต้องใช้เวลา อย่างน้อยก็สักระยะหนึ่ง
Sea เพิ่งประกาศกำไร 330 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน ซึ่งพลิกกลับมาจากการขาดทุน 931 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว นี่เป็นกำไรของบริษัทในไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน
แต่การเติบโตของรายได้กลับลดลง โดยเพิ่มเพียง 5.2% ในปีนี้ เป็น 3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเติบโตช้ากว่าการเติบโตมากกว่า 100% ในช่วงที่เกิดโรคระบาด แต่ค่าใช้จ่ายด้านการขายและการตลาดลดลงในทุกส่วนรวม 493 ล้านดอลลาร์ ลดลง 49.3% จากปีที่แล้ว
อ้างอิง: