การล็อกดาวน์ของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เร่งการเติบโตด้านรายได้ของบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่ามากที่สุดในภูมิภาคอย่าง Sea Group ซึ่งได้โหมอัดงบโฆษณาเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เพิ่มขึ้น
Nikkei Asia รายงานว่า บริษัทในสิงคโปร์ซึ่งมีธุรกิจหลักทั้งเกมออนไลน์ การชำระเงินทางดิจิทัล ตลอดจนอีคอมเมิร์ซ รานงานรายได้ในไตรมาส 2 ปี 2021 (เดือนเมษายน-มิถุนายน 2021) โดยมีรายได้ 2.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 7.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 158% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
แต่การเติบโตนี้มาพร้อมกับผลขาดทุนสุทธิ 433 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.4 หมื่นล้านบาท เทียบกับขาดทุน 393 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อนหน้า เนื่องจาก Sea Group โหมแคมเปญการตลาดเพื่อแข่งกับคู่แข่งที่ล้วนเป็นยักษ์ในภูมิภาคด้วยกัน ทั้ง Grab ของสิงคโปร์ และ GoTo Group ของอินโดนีเซีย ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขายและการตลาดสำหรับไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น 138% เป็น 921 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3 หมื่นล้านบาท
สิ่งที่น่าสนใจคือ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซของ Sea Group ที่ดำเนินการภายใต้แบรนด์ Shopee มีรายได้เพิ่มขึ้น 160% เป็น 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งมาจากจำนวนผู้ใช้ใหม่และอัตราค่าคอมมิชชันจากผู้ขายที่สูงขึ้น แต่ในทางกลับกัน ถึงรายได้จะโตแบบหวือหวา แต่การขาดทุนจากการดำเนินงานก็เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า เป็น 627 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2.1 หมื่นล้านบาทด้วยกัน
ตลาดหลักของ Sea Group ประกอบด้วย 6 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมามีการขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซในชิลีและโคลอมเบีย โดยนี่เป็นส่วนหนึ่งของการขยายธุรกิจในลาตินอเมริกา บราซิล และเม็กซิโก ซึ่งมีการประเมินว่าการเข้าสู่ตลาดใหม่อาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น
ถึงการขาดทุนจะยังน่าเป็นห่วง แต่ด้วยโอกาสทางธุรกิจที่มาพร้อมกับการล็อกดาวน์ ซึ่งทำให้มีโอกาสมากขึ้นสำหรับบริการออนไลน์ของ Sea Group ทำให้ราคาหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กเพิ่มขึ้นมากกว่า 7 เท่าตั้งแต่ต้นปี 2020 โดยปัจจุบัน Sea Group มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4.97 ล้านล้านบาท
อ้างอิง: