ความหวังของกลุ่มนักสิ่งแวดล้อมทั่วโลกที่ต้องการผลักดันการเก็บภาษีคาร์บอนต่อภาคการขนส่งทางเรือ เพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เผชิญแรงต้านอย่างหนักจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ใช้พลังทางการเมืองและการทูตเข้าขัดขวางทุกวิถีทาง
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ที่ประชุมองค์การทางทะเลระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ (IMO) มีมติเลื่อนการสรุปเรื่องการจัดเก็บภาษีคาร์บอนจากภาคการขนส่งทางเรือออกไปอีกหนึ่งปี จากเดิมที่คาดว่าจะเป็นก้าวสำคัญในการบังคับให้เรือขนส่งขนาดใหญ่ลดการปล่อยคาร์บอน หรือจ่ายค่าธรรมเนียมสูงถึง 380 ดอลลาร์ต่อหนึ่งตันของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
โดยการเลื่อนมติดังกล่าวถือเป็นผลลัพธ์ของการรณรงค์ที่ยืดเยื้อมาหลายเดือน โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ทั้งนักการทูต สมาชิกคณะรัฐมนตรี และตัวโดนัลด์ ทรัมป์เอง ต่างพร้อมใจกันร่วมกันคัดค้านแนวคิดนี้ โดยมองว่าเป็นภาษีคาร์บอนระดับโลกที่ไม่อาจยอมรับได้
ทั้งนี้ การลงมติครั้งล่าสุดจบลงด้วยคะแนน 49 ต่อ 57 เสียง เห็นชอบให้เลื่อนการตัดสินใจออกไปก่อน ส่งผลให้กลุ่มประเทศยุโรปและสหราชอาณาจักรซึ่งเคยสนับสนุนแนวทางเก็บภาษีคาร์บอนต้องพ่ายแพ้ ขณะที่สหรัฐฯ ได้รับการสนับสนุนจากประเทศคัดค้านนโยบายนี้อย่างซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน และรัสเซีย
เทย์เลอร์ โรเจอร์ส โฆษกทำเนียบขาว ระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ช่วยอเมริกาให้รอดพ้นจากแผนฉ้อโกงด้านสภาพภูมิอากาศ และเตือนให้ผู้นำประเทศอื่นละทิ้งวาระที่เป็นภัยต่อเศรษฐกิจ ก่อนจะสายเกินไป พร้อมย้ำว่าการยับยั้งมติครั้งนี้คือชัยชนะของชาวอเมริกันและประเทศที่ไม่ยอมก้มหัวต่อข้อเรียกร้องด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นธรรม
หากย้อนไปในช่วงหลายเดือนก่อนการประชุม เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เดินหน้ากดดันประเทศต่างๆ โดยอ้างเหตุผลด้านต้นทุนทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ โดยเริ่มมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทรัมป์จัดประชุมระหว่างหน่วยงานกลางเพื่อวางแผนต่อต้านภาษีคาร์บอน และต่อมาในเดือนสิงหาคม ได้ส่งหนังสือทูตไปยัง 108 ประเทศ เพื่อชี้แจงเหตุผลคัดค้าน
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลทรัมป์ใช้แรงกดดันทางเศรษฐกิจ เตือนประเทศที่ยังสนับสนุนกรอบนโยบาย ‘Net-Zero Framework’ (NZF) อาจถูกเก็บภาษีตอบโต้ ด้วยการจำกัดการออกวีซ่า หรือถูกลงโทษทางการเงิน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเป็นแนวทางที่ทรัมป์มักจะใช้ภาษีเป็นเครื่องมือกดดันคู่เจรจาทางการเมือง
ด้านมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ระบุว่า ยืนยันว่าจะปกป้องผลประโยชน์ของเศรษฐกิจชาติอย่างถึงที่สุด เนื่องจากภาษีคาร์บอนจะเพิ่มต้นทุนสินค้า กระตุ้นเงินเฟ้อ และกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร ถึงแม้นักวิเคราะห์บางส่วนจะเห็นว่าผลกระทบอาจไม่รุนแรงถึงขั้นนั้นก็ตาม
และอีกประเด็นที่สหรัฐฯ ใช้เป็นเหตุผลหลักในการคัดค้าน คือความไม่ชัดเจนในการบริหารรายได้จากภาษีดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี โดยตั้งข้อสงสัยว่าอาจกลายเป็นกองทุนสิ่งแวดล้อมไร้ความโปร่งใส มากกว่าจะใช้เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำตามที่เสนอไว้
นักวิเคราะห์มองว่า การออกมาคัดค้านของสหรัฐฯ ยังช่วยเปิดพื้นที่ให้ประเทศที่มีความลังเลหลายแห่งสามารถชะลอการตัดสินใจ โดยไม่ต้องเผชิญแรงกดดันจากนานาชาติ และคาดว่าแนวโน้มลักษณะนี้อาจเกิดซ้ำในเวทีเจรจาด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลกในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเลื่อนมติครั้งนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มนักสิ่งแวดล้อม ซึ่งมองว่าเป็นความล้มเหลวของเป้าหมายลดโลกร้อน เนื่องจากที่ผ่านมาภาคขนส่งทางเรือปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 1,000 ล้านตันต่อปี และการชะลอการเก็บภาษีอาจเปิดช่องให้แต่ละประเทศออกกฎระเบียบของตนเอง สร้างความสับสนในระบบ และทำให้สหรัฐฯ สูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ
แอนดรูว์ ฟอร์เรสต์ มหาเศรษฐีจากออสเตรเลียและผู้ก่อตั้ง Fortescue Metals Group ออกแถลงการณ์ประณามกลยุทธ์ข่มขู่ที่มีต่อประเทศสมาชิก IMO โดยยืนยันว่าบริษัทจะยืนเคียงข้างประเทศใดหรือบุคคลใดที่ถูกกดดัน พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันปกป้องความยุติธรรมในเวทีระหว่างประเทศ
ส่วนทางฝั่งเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยยืนยันว่าไม่มีการข่มขู่เกิดขึ้นจริง แต่ในความจริงแล้วบรรยากาศการประชุมยังคงตึงเครียดจนถึงชั่วโมงสุดท้าย ก่อนที่ทรัมป์จะออกมาแสดงจุดยืนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เรียกร้องให้ทุกประเทศยืนเคียงข้างสหรัฐฯ และคัดค้านภาษีคาร์บอนที่ทรัมป์บอกว่าเปรียบเสมือนภาษีหลอกลวงระดับโลก พร้อมย้ำว่าสหรัฐจะไม่ยอมให้ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระราคาสินค้าที่สูงขึ้นจากนโยบายที่เพ้อฝันและไม่เป็นจริง
อ้างอิง: