CEO ‘Shell’ ยักษ์ใหญ่วงการน้ำมันและก๊าซสัญชาติดัตช์และอังกฤษเผย ธุรกิจน้ำมันต้องปรับตัว เพราะไม่อาจต้านทานความร้อนแรงตลาดรถยนต์ไฟฟ้า EV ในจีนได้ พร้อมระบุ หลังเข้าไปทำตลาดพบว่ายังมีโอกาสเติบโตสูง พบอัตราลูกค้าในประเทศจีนใช้บริการสถานีชาร์จ EV มากเป็นสองเท่าของลูกค้าเครื่องยนต์สันดาป
แม้ว่าบรรดาบริษัทพลังงานของโลกต่างมีรายได้สูงเป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุหลักเป็นเพราะราคาน้ำมันและก๊าซพุ่งสูงขึ้น หลังจากเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่ภาคอุตสาหกรรมน้ำมันก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เนื่องจากว่าปีนี้กระแสของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้หลายบริษัทเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจพลังงานน้ำมัน เข้าไปลงทุนในพลังงานหมุนเวียน ลม แสงอาทิตย์ เพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
สำนักข่าว CNBE รายงานว่า Wael Sawan ซีอีโอของ Shell ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของอังกฤษ ออกมาระบุว่า บริษัทอยู่ระหว่างลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจพลังงานคาร์บอนต่ำ 10,000-15,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อปรับธุรกิจสู่เทคโนโลยีการใช้พลังงานคาร์บอนต่ำ ซึ่งรวมถึงเชื้อเพลิงชีวภาพ ไฮโดรเจน และการดักจับคาร์บอน โดยปีที่ผ่านมา ธุรกิจเหล่านี้ก็ทำให้ Shell ได้รับผลกำไรมากกว่า 42 พันล้านดอลลาร์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘EV’ จะเข้ามาแทนที่น้ำมันได้จริงหรือไม่ ให้ดูจากเศรษฐกิจเอเชีย! IEA ระบุทั่วโลกใช้รถยนต์ไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้น แต่น้ำมันใกล้ถึงจุดอิ่มตัว
- จับตาก้าวต่อไป ‘บางจาก’ หลังผู้ถือหุ้น 99% ไฟเขียวดีลซื้อ ‘เอสโซ่’ ลุยปรับโฉมโลโก้ปั๊มใหม่ทั่วประเทศ
และหนึ่งในธุรกิจที่ว่านี้คือธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่พบอัตราการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเติบโตสูงโดยเฉพาะในเอเชีย โดยปีนี้บริษัทมุ่งเจาะตลาดที่ใหญ่และสำคัญ นั่นคือประเทศจีน ที่มีอัตราการผลิตและใช้รถยนต์ไฟฟ้าเติบโตต่อเนื่องและร้อนแรง อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากลูกค้าในจีนอย่างน่าสนใจ เมื่อพบว่าผู้ใช้รถต่างเข้ามาใช้บริการสถานีชาร์จ EV มากเป็นสองเท่าของลูกค้าเครื่องยนต์สันดาปอีกด้วย
และเมื่อดูจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในจีนสูงถึง 3.3 ล้านคัน ซึ่งเป็น 3 เท่าของจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายในปี 2020 ดังนั้นจีนจึงถือเป็นตลาดที่ใหญ่มากสำหรับธุรกิจเกี่ยวกับ EV รองจากยุโรป
ประกอบกับโครงสร้างพื้นฐาน ระบบนิเวศสถานีชาร์จสาธารณะเป็นที่ต้องการสูงในจีน บวกกับความนิยมที่เพิ่มขึ้น โดยส่วนใหญ่ชาวจีนและประเทศอื่นๆ ในเอเชียมักจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า โดยอาศัยอยู่ในอาคารสูง ไม่ใช่การชาร์จที่บ้าน ทำให้ไม่สามารถมีที่ชาร์จส่วนตัวได้ ตรงนี้จึงเป็นโอกาสของ Shell
ความไม่แน่นอนทางพลังงาน ส่งแรงกระเพื่อมธุรกิจน้ำมัน
เขากล่าวอีกว่า บริษัทยังคงมองเห็นความต้องการที่สูงและแข็งแกร่งมากในการดำเนินธุรกิจน้ำมันและก๊าซในระยะสั้นและระยะกลาง ซึ่ง Shell ยังคงมุ่งมั่นในธุรกิจน้ำมันและก๊าซไปอีกนาน แต่แน่นอนว่าหลังจากนี้ไม่มีใครรู้ว่าความต้องการน้ำมันและก๊าซจะหมดไปหรือไม่ หรืออยู่ในจุดไหนในอีก 10-15 ปีข้างหน้า เนื่องจากสถานการณ์พลังงานเปลี่ยนแปลงในทุกวัน ซึ่งเมื่อ Shell มีสถานีบริการน้ำมันและร้านค้าปลีกกว่า 46,000 แห่งทั่วโลก ก็จะสามารถสร้างสถานีชาร์จให้กับยานยนต์ไฟฟ้าไปพร้อมกันได้
และส่วนที่สองคือการลงทุนคาร์บอนต่ำ นั่นคือเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งทำจากวัสดุอินทรีย์และของเสียนำมาผสมกับน้ำมันเบนซิน เพราะความต้องการเชื้อเพลิงชีวภาพได้รับแรงหนุน แรงผลักดัน ตลอดจนแรงกดดันด้านกฎระเบียบการค้าของโลก
Shell Thailand ผุดธุรกิจกลุ่ม ‘Mobility’
สำหรับ Shell Thailand ก็มีแผนการลงทุนด้านสถานีชาร์จตามนโยบายบริษัทแม่ โดยมีกลุ่มธุรกิจ Mobility ซึ่งได้จัดตั้งสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าสมรรถนะสูง (High Performance Charging: HPC) ขนาด 180 กิโลวัตต์ ภายใต้แบรนด์ Shell Recharge แห่งที่ 2 ที่สถานีบริการ Shell Thew Talay World อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เพื่อเชื่อมต่อบริการให้กับรถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท รวมถึงผู้ใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน SHARGE
โดย Shell มุ่งตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ด้วยการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าสมรรถนะสูง (HPC) Shell Recharge ครอบคลุมในทุกเส้นทางการเดินทางให้มากที่สุด ซึ่งร่วมมือกับ Porsche Asia Pacific ในการเปิดสถานีบริการชาร์จพลังงานไฟฟ้าสมรรถนะสูง DC Chargers ขนาด 180 กิโลวัตต์ และ 360 กิโลวัตต์ Shell Recharge ในสถานีบริการน้ำมัน Shell ที่ปัจจุบันมีจำนวน 11 แห่งทั่วประเทศไทย
อ้างอิง: