×

เซียนหุ้นปรับพอร์ตถือเงินสด เล็งจับจังหวะเก็บของถูก

โดย efinanceThai
13.03.2020
  • LOADING...

เมื่อดัชนีหุ้นไทยร่วงจาก 1,200 จุดสู่ระดับต่ำกว่า 1,000 จุดในรอบหลายปี ลองมาดูพอร์ตลงทุนของขาใหญ่และเซียนหุ้นทั้งสาย VI-เทรดเดอร์ ที่ยอมรับว่าพอร์ตหุ้นต้นปี 2563 ติดลบระนาวว่าปรับตัวกันอย่างไร  

 

Value Investor (VI) ช้ำ พอร์ตติดลบระนาว   

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า (VI) ระบุว่า พอร์ตหุ้นต้นปีนี้ปรับตัวลดลง ภาพรวมตลาดหุ้นไทย ที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้นักลงทุนวิตกและเทขายหุ้นออกมากันจำนวนมาก 

    

เช่นเดียวกับ ชาย มโนภาส นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เผยว่า พอร์ตหุ้นต้นปีนี้ติดลบ ตามดัชนี SET Index ที่ปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี จากความกังวลการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง

    

ด้าน นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี อีกหนึ่งนักลงทุน VI ยอมรับว่า ต้นปีนี้พอร์ตหุ้นปรับตัวลดลง แต่ต่ำกว่าตลาดฯ ที่ติดลบถึง 13-14% แต่ไม่ได้กังวลมากนัก เพราะเป็นความผันผวนระยะสั้นตามตลาดหุ้นทั่วโลก 

    

ส่วน พีรนาถ โชควัฒนา นักลงทุน VI ระบุว่า พอร์ตหุ้นปรับตัวลดลงมากกว่าตลาดเล็กน้อย เนื่องจากมีหุ้นอสังหาริมทรัพย์หลายบริษัท และส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก จากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

    

ด้าน โจ ลูกอีสาน หรือ อนุรักษ์ บุญแสวง อดีตนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) คาดว่า พอร์ตหุ้นรวมตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (Year to Date) ปรับตัวลดลงใกล้เคียงกับตลาดฯ โดยมีหุ้นในพอร์ตประมาณ 65 บริษัท 

    

รวมถึง เสี่ยยักษ์ หรือ วิชัย วชิรพงศ์ นักลงทุนรายใหญ่ระบุว่า พอร์ตรวมต้นปีนี้ปรับตัวลดลงพอสมควร แต่ยังเชื่อมั่นในพื้นฐานระยะยาวของบริษัทที่เข้าลงทุน ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงช่วงนี้เป็นเพียงความผันผวนระยะสั้น

 

ส่องพอร์ตแดงเถือก

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทยสำรวจการถือครองหุ้นของกลุ่มนักลงทุนข้างต้นจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งจะรายงานข้อมูลผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีสัดส่วน 0.5% ขึ้นไป พบว่า หุ้นส่วนใหญ่ในพอร์ตของนักลงทุนทั้ง 6 รายติดลบ โดยมีเพียง 6 จาก 40 บริษัทเท่านั้นที่ราคาหุ้นเป็นบวก ดังนี้

 

 

สายเทรดเดอร์เจ็บไม่แพ้กัน

เสี่ยป๋อง หรือ วัชระ แก้วสว่าง นักลงทุนสายเทคนิคอลรายใหญ่เผยว่า พอร์ตหุ้นต้นปีนี้ติดลบต่อเนื่องจากปีก่อน โดยได้ทยอยลดพอร์ตอย่างต่อเนื่อง เพราะคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของดัชนีในแต่ละวันค่อนข้างยาก 

 

“ตอนนี้เราไม่รู้แนวรับจะอยู่ระดับไหน ซึ่งก็คงทำได้แต่เพียงเฝ้ารอและหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน” เสี่ยป๋องกล่าว

 

ฟาก หยง หรือ ธำรงชัย เอกอมรวงศ์ เทรดเดอร์ชื่อดัง ระบุว่า พอร์ตรวมจากต้นปีติดลบประมาณ 15-17% นอกจากภาวะตลาดที่ผันผวนจากปัจจัยลบต่างๆ ยังได้รับผลกระทบจากแรงซื้อ-ขายที่ผิดปกติจากระบบ AI ด้วย ซึ่งคาดว่าตลาดจะอยู่ในลักษณะนี้อีกระยะใหญ่

    

อย่างไรก็ตาม หมอวิน หรือ รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา เซียนหุ้นสายเทคนิคอลรายใหญ่ เผยว่า ผลตอบแทนรวมยังเป็นบวก เนื่องจากลงทุนหุ้นรายตัวได้ถูกตัวถูกจังหวะ ส่วนหนึ่งมาจากการวางแผนที่ดีก่อนหน้านี้ และกระจายความเสี่ยงลดพอร์ตหุ้นเหลือต่ำกว่า 50% จากเดิม 80-100% เพราะสัญญาณเทคนิคฟ้องว่าตลาดหุ้นไทยจะเข้าสู่ภาวะหมี (Bear Market) มา 2 ปีแล้ว

 

ปรับพอร์ตเพิ่มเงินสด 

เสี่ยป๋อง กล่าวต่อไปว่า ช่วงที่ผ่านมาทยอยลดพอร์ตอย่างต่อเนื่อง โดยตัดขายหุ้นที่ยังมีสภาพคล่องออกมาทั้งหมด เน้นถือเงินสดให้ได้มากที่สุดเพื่อรอจังหวะพร้อมที่จะเข้าซื้อ ส่งผลให้ปัจจุบันมีเงินสดอยู่กว่า 80-90%

    

เช่นเดียวกับ เสี่ยยักษ์ ระบุว่า ขณะนี้กันเงินสดไว้ 10% จากปกติจะลงทุนหุ้น 100% แต่เป็นการถือเงินสดเพื่อรอจังหวะซื้อหุ้นพื้นฐานดีราคาถูก โดยมองว่าดัชนีฯ ที่ปรับตัวลดลงทำให้หุ้นหลายบริษัทราคาลงมาอยู่ในระดับที่น่าลงทุนมากขึ้น

    

ด้าน ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เผยว่า ปัจจุบันปรับมาถือเงินสดประมาณ 5% เตรียมรอไว้สำหรับช้อนซื้อหุ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรงๆ หรือผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว 

    

ฟาก ธำรงชัย เอกอมรวงศ์ ระบุว่า การบริหารสภาพคล่องถือว่าสำคัญมากในภาวะตลาดแบบนี้ โดยส่วนตัวลดพอร์ตหุ้นไทยเหลือประมาณ 50% ที่เหลือเป็นเงินสดกับหุ้นต่างประเทศ ซึ่งภาวะตลาดช่วงนี้การมีเงินสดในมือถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าสะสมหุ้นพื้นฐานดีราคาถูก

    

รวมถึง รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา กล่าวว่า ปัจจุบันถือเงินสดเกือบ 50% เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุน 

    

ขณะที่ นพ.พงษ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี ระบุว่า ปรับกลยุทธ์ถือเงินสดไว้พอสมควร และมองหาโอกาสในการเข้าลงทุนบริษัทที่ดีและราคาปรับตัวลดลงจนอยู่ในระดับที่น่าลงทุน

 

หาโอกาสช่วงวิกฤต

เสี่ยยักษ์กล่าวต่อไปว่า ภาวะตลาดแบบนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีในการเลือกสะสมหุ้นพื้นฐานดีราคาถูก โดยให้มองการลงทุนระยะยาวเป็นหลัก 

    

“ทุกวิกฤตมีโอกาส ต้องกล้าในจังหวะที่คนกลัว ถ้ามัวแต่กลัวจะไปรวยตอนไหน แต่ต้องศึกษาข้อมูลให้ดี รู้ให้ลึก รู้ให้จริง ผมอยู่ในตลาดหุ้นมากว่า 30 ปี เห็นอะไรมาเยอะ จากดัชนีฯ 1,700 จุด ลงมา 200 จุด ก็เคยเจอมาแล้ว หุ้นมีขึ้นลงเป็นวัฏจักรอยู่แล้ว ถ้าเราลงทุนในหุ้นที่ดี กำไรเติบโต ก็ไม่ต้องกังวลกับความผันผวนระยะสั้น” เสี่ยยักษ์เผย

    

ขณะที่ ชาย มโนภาส ระบุว่า หุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด โดยเฉพาะในยุคดอกเบี้ยต่ำ การถือเงินสดแทบจะไม่ได้ผลตอบแทน ตราสารหนี้ก็มีความเสี่ยง อย่างน้อยการลงทุนในหุ้นยังสามารถคาดหวังผลตอบแทนจากเงินปันผลได้อย่างน้อย 3-4% ขึ้นไป นักลงทุน VI มักใช้จังหวะแบบนี้ในการเข้าลงทุน เพราะจะได้ของดีราคาถูก

    

ด้าน นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี แนะนำ หาจังหวะเข้าลงทุนหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาปรับตัวลดลงเพื่อถือลงทุนระยะยาว โดยมองว่าความผันผวนช่วงนี้ถือเป็นโอกาสที่ดี เพราะหุ้นหลายบริษัทปรับตัวลดลงจนน่าลงทุน

    

ฟาก พีรนาถ โชควัฒนา ระบุว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยตอนนี้ยังไม่น่ากลัวมากนัก อยู่ในระดับที่เป็นโอกาสการเข้าเก็บหุ้น 

    

“ผมผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาหลายรอบแล้ว ตั้งแต่ต้มยำกุ้ง ซัพไพรม์ ตอนนี้ยังถือว่าโอเคกว่าช่วงนั้นเยอะ และถือเป็นโอกาสเข้าลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม” พีรนาถกล่าว

    

ธำรงชัย เอกอมรวงศ์ ประเมินว่า แนวรับสำคัญตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,300 จุด ซึ่งไม่น่าจะหลุดต่ำกว่าระดับดังกล่าว เพราะทางพื้นฐานไม่ได้แย่ขนาดที่เป็น ซึ่งหากปัญหาโรคระบาดสามารถควบคุมได้ ตลาดหุ้นมีโอกาสรีบาวด์แรงได้ ซึ่งช่วงนี้ถือเป็นจังหวะเข้าสะสมหุ้น 

    

“บางคนอาจจะมองว่าตลาดหุ้นตอนนี้มีความเสี่ยง แต่ผมว่าการเสียโอกาสเสี่ยงและแพงมากกว่า กลยุทธ์คือต้องเลือกหุ้นให้ถูกตัว ธุรกิจมีความสามารถในการทำกำไร ทยอยเข้าทีละน้อย หากไม่ใช่ให้ตัดขาดทุน หากใช่ให้เพิ่มการลงทุน” เซียนหยง แนะนำ

 

เน้นหุ้นปันผล-เลี่ยงหุ้นเล็ก   

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มองว่า ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตมักจะมีโอกาสเสมอ สำหรับคนที่มีการถือเงินสดอยู่จำนวนมากและลงทุนในระยะยาวได้ ควรเลือกหาหุ้นที่พื้นฐานดีเพื่อการลงทุน โดยแนะนำ หุ้นปันผลดี ผลตอบแทนมากกว่า 4% ขึ้นไป และมีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพการแข่งขัน ไม่ถูกดิสรัปชันจากเทคโนโลยี ที่สำคัญราคาหุ้นต้องถูก อัตราส่วนกำไรต่อราคาต่อหุ้น (P/E) ต้องต่ำกว่าระดับ 10 เท่า (สำหรับบริษัททั่วไป) ส่วนบริษัทที่โดดเด่นก็อาจสูงกว่าได้เล็กน้อย ส่วนหุ้นพี/อีสูงให้หลีกเลี่ยง เพราะช่วงที่หุ้นตกแรงมักจะถูกขายก่อนเสมอ และใช้เวลาฟื้นตัวช้า

    

ด้าน โจ ลูกอีสาน ปรับกลยุทธ์ เน้นหุ้นขนาดกลาง-ใหญ่ที่มีสภาพคล่องและอัตราจ่ายเงินปันผลมากกว่า 3-4% ต่อปี เพราะแม้ราคาจะปรับตัวลดลง แต่ยังมีผลตอบแทนจากเงินปันผล และจะลดการลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก เนื่องจากในภาวะตลาดหมีจะมีสภาพคล่องต่ำ 

    

“ตอนนี้ของถูกเต็มตลาดเลย โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ ถือเป็นโอกาสเข้าลงทุน ซึ่งจะเน้นเลือกหุ้นที่มีปันผลดีลำดับแรก ขณะเดียวกันจะพยายามเลี่ยงหุ้นขนาดเล็ก เพราะสภาพคล่องต่ำ จะทำให้ขายลำบากหากต้องการตัดหุ้นออก” โจ ลูกอีสานแนะนำ 

    

เช่นเดียวกับเสี่ยยักษ์ที่ระบุว่า ให้หลีกเลี่ยงหุ้นขนาดเล็กที่สภาพคล่องต่ำ เนื่องจากปัจจุบันพฤติกรรมนักลงทุนเปลี่ยนไป เน้นลงทุนหุ้นขนาดใหญ่มากขึ้น 

    

“ผลของนักลงทุนรายย่อยที่หายไปจากตลาดเยอะ พฤติกรรมการลงทุนจึงเปลี่ยนไป แต่ก่อนเซียนหุ้นหรือรายใหญ่ซื้อหุ้นตัวไหน รายย่อยจะตาม หุ้นเล็กมักไปต่อได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว กองทุนกลายเป็นคนนำตลาด ซึ่งลงทุนหุ้นขนาดใหญ่เป็นหลัก หุ้นเล็กจึงไม่มีสภาพคล่อง ถือว่ามีความเสี่ยงในการเข้าเก็งกำไร” เสี่ยยักษ์เผย

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
ติดตามข่าวสารการลงทุนเพิ่มเติมได้ที่: www.efinancethai.com

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising