×

“ผมขอพูดในนามของสัตว์ป่า” รำลึก 33 ปี สืบ นาคะเสถียร

01.09.2023
  • LOADING...
สืบ นาคะเสถียร

“จุดตัวเองก็ยอมทันใด ให้ลุกเป็นไฟ ขึ้นมา

เพียงปรารถนา ให้มีลำแสง สีทอง

จุดตัวเองก็ยอมทันใด ให้ลุกเป็นไฟขึ้นมา

เพียงปรารถนา ดอกทานตะวัน หันมอง”

 

บทเพลง ไม้ขีดไฟกับดอกทานตะวัน

 

หลายปีก่อนผมเดินทางกลับไปอ่างเก็บน้ำเขื่อนเชี่ยวหลาน จังหวัดสุราษฎร์ธานี หลังจากไม่ได้ไปเยือนมานานนับสิบปี เพื่อเป็นวิทยากรให้กับทางมูลนิธิสืบนาคะเสถียร จัดทริปพาผู้สนใจตามรอยการทำงาน สืบ นาคะเสถียร ผู้เคยใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในฐานะหัวหน้าอพยพสัตว์ป่า

 

สำหรับหลายคน เขื่อนเชี่ยวหลานอาจเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม มีทัศนียภาพแปลกตา เห็นเกาะแก่งภูเขาหินปูนรูปร่างแปลกอยู่กลางอ่างเก็บน้ำราวกับทะเลสาบกุ้ยหลินของเมืองจีน 

 

แต่สำหรับผมแล้ว การไปเขื่อนเชี่ยวหลานครั้งแรกของผมเมื่อ 30 กว่าปีก่อน เป็นภาพอันประทับตราในใจไปตลอดชีวิต เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสรู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งชื่อ สืบ นาคะเสถียร 

 

ผมดั้นด้นไปตามหา สืบ นาคะเสถียร กลางอ่างเก็บน้ำเขื่อนเชี่ยวหลาน เมื่อได้ทราบว่าเขาเป็นหัวหน้าโครงการช่วยชีวิตสัตว์ป่าที่กำลังจมน้ำจากการสร้างเขื่อน ถือเป็นโครงการอพยพสัตว์ป่าครั้งแรกในประเทศไทย

 

สืบ นาคะเสถียร

 

หลังจากนั้นสืบกลายเป็นนักรบแถวหน้าของขบวนการอนุรักษ์ธรรมชาติ ที่ใดมีปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าหรือการลักลอบล่าสัตว์ สืบจะปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ บนเวทีอภิปรายเขามักจะขึ้นต้นคำพูดว่า “ผมขอพูดในนามของสัตว์ป่า”

 

ไม่กี่ปีต่อมา ข้าราชการกรมป่าไม้ตัวเล็กๆ ผู้นี้กลายเป็นตำนานของสังคมไทยภายหลังการยิงตัวตายในป่าห้วยขาแข้ง และเหนือสิ่งอื่นใดความตายของเขาได้สั่นสะเทือนผู้คนในสังคมไทยที่ทราบข่าวอย่างรุนแรง

 

มีผู้คนมากมายพากันตั้งคำถามว่า เหตุใดหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งจึงตัดสินใจยิงตัวตาย

 

วันที่ผมไปรอรับศพพี่สืบที่นำออกมาจากป่าห้วยขาแข้งเอามาตั้งสวดไว้ที่วัดมหาธาตุ บางเขน ในความรู้สึกถึงเพื่อนและพี่ชายคนนี้ ผมเขียนบันทึกสั้นๆ ไว้ว่า

 

“หากมีวันหนึ่งคุณถูกคนร้ายจับล่ามโซ่ ภรรยาของคุณกำลังถูกคนร้ายข่มขืน คุณไม่สามารถช่วยเหลือคนรักของคุณได้ คุณดิ้นสุดขีดแต่ไร้ผล คุณตะโกนก้องเพื่อให้คนอื่นมาช่วย แต่คนเหล่านั้นแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน บางคนบอกว่าให้คุณช่วยตัวเองไปก่อน คุณดิ้นพล่านเมื่อเมียรักร้องด้วยความเจ็บปวดแต่ไม่มีใครสนใจ

 

“แล้วสุดท้ายคุณก็มิอาจทนกับสภาพอันบัดซบที่เกิดขึ้นต่อหน้าคุณ โดยที่คุณไม่อาจช่วยภรรยาอันเป็นที่รักยิ่งได้ และถึงเวลานั้นคุณแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ คุณอาจเลือกทำร้ายตัวเองเพื่อบอกว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของคุณ”

 

คนส่วนใหญ่อาจมีชีวิตเพื่อครอบครัวและตัวเอง แต่สำหรับ สืบ นาคะเสถียร เขารักและหวงแหนชีวิตสัตว์ป่าและป่ามากกว่าตัวเองและครอบครัวเสียอีก  

 

เขาทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อสิ่งอันเป็นที่รักยิ่ง เขาวิ่งพล่านไปทั่วเพื่อส่งเสียงบอกให้ผู้ใหญ่และผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับสภาพการล่าสัตว์และทำลายป่าเมืองไทย

 

ไม่มีใครสนใจเสียงตะโกนของเขา ไม่มีใครอยากได้ยิน

 

สืบ นาคะเสถียร

 

ก่อนรุ่งสางของวันเสาร์ที่ 1 กันยายน 2533 เสียงปืนนัดหนึ่งจึงดังกึกก้องขึ้นในป่าห้วยขาแข้ง

 

ข่าวการตายของข้าราชการกรมป่าไม้คนนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วประเทศ สองอาทิตย์ต่อมาห่างจากบริเวณที่เกิดเสียงปืนดังไม่กี่สิบเมตร ข้าราชการระดับสูงจากกรมป่าไม้, ผู้ว่าราชการจังหวัด, นายทหาร, นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่, นายอำเภอ และเจ้าหน้าที่บ้านเมืองนับร้อยคน ได้แห่กันมาประชุมปรึกษาหารือในการป้องกันการทำลายเขตรักษาป่าห้วยขาแข้งอย่างแข็งขัน

 

สืบ นาคะเสถียร รอวันนี้มาตั้งแต่วันแรกที่เขามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งแห่งนี้ เพื่อให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหันมาสนใจปัญหาอย่างจริงจัง

 

หากไม่มีเสียงปืนในราวป่านัดนั้น การประชุมครั้งนั้นก็คงไม่เกิดขึ้นเช่นกัน

 

สิบปีต่อมา อ.ธีรยุทธ บุญมี แห่งคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รายงานผลการสำรวจประชามติความคิดเห็นของคนไทย เพื่อสะท้อนภาพรวมของสังคมในด้านต่างๆ ก่อนที่จะย่างเข้าสู่ปี 2543 หนึ่งในแบบสำรวจประชามติมีการตั้งคำถามว่า ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา ท่านเสียดายการจากไปของสามัญชนผู้ใดมากที่สุด 10 อันดับ 

 

ผลปรากฏว่า อันดับ 1 คือ หลวงปู่แหวน  อันดับ 2 คือ สืบ นาคะเสถียร 

 

มีคะแนนนำ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช, ปรีดี พนมยงค์, ป๋วย อึ๊งภากรณ์, มิตร ชัยบัญชา และพุทธทาสภิกขุ

 

จวบจนถึงปัจจุบัน แม้ สืบ นาคะเสถียร อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จะตายจากไป 25 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าสืบยังคงเป็นวีรบุรุษในดวงใจของคนไทย

 

ผมจำได้ดีว่าช่วงเวลาที่คุณสืบเสียชีวิต มีอภิมหาเศรษฐีเจ้าของธนาคารอันดับต้นๆ ของประเทศเสียชีวิตเช่นกัน มีเงินเหลือให้ลูกหลานหลายหมื่นล้านบาท ขณะที่บัญชีธนาคารของคุณสืบมีเพียงเงินแค่ 8,000 บาท

 

เวลาผ่านไป แทบจะไม่มีใครจดจำชื่อมหาเศรษฐีผู้นี้ได้ ต่างจากชื่อของ สืบ นาคะเสถียร

 

วันที่ 1 กันยายนของทุกปี ยังมีผู้คนจำนวนมากไม่ลืมผู้ชายคนนี้ ในเฟซบุ๊กผมเขียนถ้อยคำรำลึกพี่สืบ ได้มีคนจำนวนนับแสนเข้ามาอ่านและแสดงความอาลัย ไม่ว่าจะเป็น

 

Nunid Suda Thessananavin อ่านเรื่องคุณสืบทีไรร้องไห้ทุกที วันนี้ตอนลูกถามว่าคุณสืบทำอะไรบ้าง ก็เล่าไปกลั้นน้ำตาไป ปีหน้าลูกขอไปเที่ยวงานรำลึกฯ กับน้าหมู อนุญาตไปแล้ว…แต่แม่คงไม่ไปด้วย เพราะกลัวไปน้ำตาร่วง

 

Apiradee นึกถึงภาพคุณสืบช่วยกวางที่เขื่อนเชี่ยวหลานและปั๊มหัวใจช่วย แต่ก็ช่วยไม่สำเร็จ แกก้มหน้า นึกถึงทีไรน้ำตาไหลทุกที

 

Noppawan Rungsaroj กี่ปีแล้วพี่ที่ความดีแบบนี้ไม่ปรากฏในมนุษย์

 

Nat Non Sulee แค่เห็นหน้า…น้ำใสๆ มันก็ไหลออกมาจากใจได้เอง

 

Postcup Pancharoen อ่านแล้วต้องหายใจลึกๆ ยาวๆ กลั้นอารมณ์เอาไว้ พี่เขาทำเต็มที่มากพอแล้ว สำหรับชีวิตคนคนหนึ่งที่ตั้งใจทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด

 

Supaporn Santisiri คนที่เป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ค่ะ

 

Mutita Sawangpaiboon อ่านแล้วจะน้ำตาคลอ แค่เพลงสืบขึ้นน้ำตาก็ไหลทุกที

 

Nitaya Sompakdee คนดีไม่มีวันตาย ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหนผู้คนก็ยังรำลึกนึกถึงอยู่เสมอ คุณสืบคงรับรู้ได้ว่าการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของคุณเกิดผลให้คนหันมาดูแลผืนป่าและสัตว์ป่าตามเจตนารมณ์ ความดีของคุณสืบจะอยู่ในใจคนไทยที่รักประเทศทุกคนเสมอค่ะ

 

ประภาส ชลศรานนท์ ผู้แต่งเพลง ไม้ขีดไฟกับดอกทานตะวัน บอกกับผมว่า

 

“ตอนไปบันทึกเพลงในห้องอัดเสียง ร้องโดย คุณวิยะดา โกมารกุล วูบนั้นผมคิดถึงคุณสืบขึ้นมาทันที เนื้อหาเพลงนี้ตรงกับชีวิตของเขาที่ต้องจุดไฟขึ้นเผาตัวเอง เพื่อให้คนอื่นหันมามอง ทุกวันนี้ถ้าได้ฟังเพลงนี้เมื่อไร ไม่เคยมีครั้งไหนที่ไม่คิดถึงคุณสืบ”

 

เจ้าไม้ขีดไฟ ก้านน้อยเดียวดาย

แอบรักดอกทานตะวัน

แรกแย้มยามบาน อวดแสงตะวัน

ช่างงดงามเกินจะเอ่ย

 

ดอกเหลืองอำพัน ไม่หันมามอง

แม้เหลียวมา ยังไม่เคย

ไม้ขีดเจ้าเอ๋ย เลยได้แต่ฝัน ข้างเดียว

ดอกไม้จะบาน และหันไปตาม

แต่แสงจากดวงอาทิตย์

 

จุดตัวเองก็ยอมทันใด ให้ลุกเป็นไฟ ขึ้นมา

เพียงปรารถนา ให้มีลำแสง สีทอง

จุดตัวเองก็ยอมทันใด ให้ลุกเป็นไฟขึ้นมา

เพียงปรารถนา ดอกทานตะวัน หันมอง

สักครั้ง

 

เจ้าไม้ขีดไฟ ก้านน้อยเดียวดาย

สาดแสงในใจ ไม่นาน

ดอกเหลืองอำพัน จึงหันมามอง

และพบเพียงกองเถ้าถ่าน

 

ปีแล้วปีเล่า ความตายของเขาได้จุดประกายไฟให้คนหันมาสนใจธรรมชาติอย่างจริงจัง และกลายเป็นแรงบันดาลใจของผู้คนหลายชีวิตในเวลาต่อมา

 

เสียงปืนนัดนั้นยังดังก้องอยู่ในใจของผู้คนจำนวนมาก

 

ตำนานของนักอนุรักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ยังได้รับการเล่าขานมาจนถึงบัดนี้

 

แต่เหตุใด สืบ นาคะเสถียร จึงยอมเป็นไม้ขีดจุดไฟเผาตัวเอง 

 

คนโบราณเคยกล่าวไว้ว่า

 

“ความตายเป็นสิ่งที่ธรรมชาติหยิบยื่นให้มนุษย์ เพื่อให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวด ซึ่งอาจไม่ใช่ความเจ็บปวดทางกาย แต่อาจเป็นความเจ็บปวดทางใจ”

 

อะไรคือความเจ็บปวดของผู้ชายชื่อ สืบ นาคะเสถียร

 

ครั้งหนึ่งผมเคยเขียนถึงเขาว่า

 

สืบรู้ตัวดีว่าสักวันหนึ่งเขาอาจถูกยิงตายจากการบงการของผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย

 

สืบรู้ตัวดีว่าสักวันหนึ่งลูกน้องของเขา ซึ่งเขาเป็นคนส่งออกไปปฏิบัติหน้าที่ ต้องถูกยิงตายอย่างไร้ค่า เพราะไม่มีใครสนใจ สืบไม่ใช่คนกลัวตาย แต่ทนไม่ได้ที่ลูกน้องเขาต้องตายไปต่อหน้า โดยที่เขาไม่อาจทำอะไรได้

 

สืบมีความฝันที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้สัตว์ป่าและป่าไม้ในป่าห้วยขาแข้งอยู่รอด

 

เมื่อความมุ่งมั่นของเขาที่มีต่อห้วยขาแข้งถูกทำลายลงอย่างย่อยยับจากระบบราชการ และผู้มีอำนาจในเมืองไทยที่ไม่เคยสนใจปัญหาการทำลายธรรมชาติอย่างจริงจัง

 

เขาเคยปรึกษาแม่ว่าจะลาออกและไปบวช แต่เขาก็ไม่ลาออก 

 

การลาออกเป็นการทรยศต่อตัวเอง ทรยศต่อห้วยขาแข้ง และทรยศต่อลูกทีมของเขา

 

แต่การมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่สามารถทำให้ความมุ่งมั่นและความเชื่อของเขาเป็นจริงได้

 

สืบ นาคะเสถียร เป็นคนไม่เคยทรยศต่อหลักการและความมุ่งมั่นของตัวเอง 

 

บางทีการตั้งใจฆ่าตัวตายอาจเป็นเพียงหนทางเดียว

 

ที่ทำให้ความฝันของเขาเป็นจริงขึ้นมาได้

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X