ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน ‘Meet the Press: ผู้ว่าการพบสื่อมวลชน’ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 โดยระบุว่า ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปัจจุบันอยู่ที่ 3% ดังนั้น หากไม่แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ก็ยากจะกลับไปโตได้ 4-5%
พร้อมห่วงว่าการขยับกรอบเงินเฟ้ออาจกระทบกับความน่าเชื่อถือ (Credibility) และการคาดการณ์เงินเฟ้อ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาด ต้นทุนการกู้ยืม และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ‘ทันที’
ห่วงเงินเฟ้อกระทบค่าครองชีพประชาชน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำในปัจจุบัน ไม่ได้ความว่าราคาของถูกลง ย้ำเงินเฟ้อต่ำไม่ได้เป็นปัญหา ถ้าไม่ได้นำไปสู่ภาวะเงินฝืด
“ตอนที่เราพูดว่า เศรษฐกิจกำลังฟื้นกลับเข้าสู่ระดับศักยภาพ ผมต้องยืนยันว่า ไม่ได้หมายความว่าคนไม่ได้ลำบากนะ เราทราบดีว่าตัวเลขเหล่านั้นเป็นตัวเลขภาพรวม เป็นตัวเลขเชิงเดี่ยว แต่ซ่อนความทุกข์และความลำบากของคนไม่น้อย”
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
4 กรกฎาคม 2567
“ถ้าอยากให้เศรษฐกิจโตมากกว่า 3% จะต้องแก้เชิงโครงสร้าง ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่หากจะกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น สุดท้ายเศรษฐกิจก็จะกลับไปโตที่ราว 3% อยู่ดี”
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
4 กรกฎาคม 2567
“เงินเฟ้อที่เราทุกคนประสบ ในแง่ของค่าครองชีพ ไม่มีใครจะมองว่าต่ำเกินไป เราจึงต้องใส่ใจเงินเฟ้อ เนื่องจากเมื่อเงินเฟ้อขึ้น ราคาของขึ้นไปแล้วมันจะไม่ลง”
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
4 กรกฎาคม 2567
“เงินเฟ้อต่ำไม่ได้เป็นปัญหา ถ้าไม่ได้นำไปสู่ภาวะเงินฝืด ที่หมายถึงอัตราเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง ราคาสินค้าลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจ การบริโภค และอุปสงค์ในประเทศลดลง ทำให้คาดการณ์เงินเฟ้อลดลงตาม เป็นวงจรอุบาทว์ แต่ว่าภาวะเงินเฟ้อต่ำของไทยไม่ได้ส่อไปทางเงินฝืด การบริโภคปีนี้ก็ยังโตต่อเนื่องอยู่”
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
4 กรกฎาคม 2567