หุ้นไทยปิดตลาดที่ 1,519.12 จุด ลดลง 9.69 จุด ตามทิศทางหุ้นภูมิภาคกังวลปัญหา Evergrande ยื่นล้มละลาย Fed ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อ นักลงทุนชะลอลงทุน รอจับตาโหวตนายกรัฐมนตรี วันที่ 22 สิงหาคมนี้
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (18 สิงหาคม) ปิดตลาดปรับตัวลดลง 9.69 จุด มาอยู่ที่ 1,519.12 จุด เนื่องจากมีปัจจัยกดดันหลักจากต่างประเทศ จากความกังวลกรณีปัญหาล่าสุด หลัง Evergrande Group บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของจีนที่ประสบปัญหาทางการเงินและผิดนัดชำระหนี้มาตั้งแต่ปี 2564 ได้ยื่นขอความคุ้มครองการล้มละลายต่อศาลสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเข้ามากดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย
อีกทั้งมีปัจจัยกดดันจากรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่เปิดเผยออกมาส่งสัญญาณมีความเป็นไปได้ที่ Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และนักลงทุนยังชะลอการลงทุนเพื่อติดตามรอดูความชัดเจนการประชุมรัฐสภาในวันที่ 22 สิงหาคมที่จะมีการโหวตเลือกนายกฯ ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่ามาที่ระดับประมาณ 35.40 บาท ยังกดดันให้นักลงทุนต่างชาติมีแรงขายสุทธิออกมา 388 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในสัปดาห์หน้า (21-25 สิงหาคม) คาดว่ามีโอกาสแกว่งตัวเพิ่มขึ้นในกรอบที่จำกัด โดยมีปัจจัยบวกจากการเมืองในประเทศที่คาดว่าจะมีความชัดเจนในการได้บุคคลมารับตำแหน่งรัฐมนตรีและการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงจะมีการรายงานตัวเลข GDP ของไทยไตรมาส 2/66 ที่มี Consensus คาดว่าจะขยายตัวได้ดีต่อเนื่องที่ระดับ 3.1% จากไตรมาส 1/66 ที่ GDP ขยายตัวได้ 2.7% ส่งผลให้คาดว่า GDP ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 จะขยายตัวได้ประมาณ 2.9-3% และในวันที่ 23 สิงหาคมนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะจัดงาน Thailand Focus 2023 ซึ่งถือเป็นงานที่ช่วยสร้างบรรยากาศเชิงบวกให้กับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิเคราะห์อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลผลประกอบการไตรมาส 2/66 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เพื่อนำมาทบทวนปรับประมาณการเป้าหมาย SET Index ซึ่งเบื้องคาดว่าจะยังคงเป้าหมาย SET Index สิ้นปี 2566 ไว้ที่ 1,620 จุด แม้ว่ากำไรไตรมาส 2/66 ส่วนใหญ่จะมีแนวโน้มปรับลดลง แต่ยังประเมินว่าแนวโน้มของเศรษฐกิจและกำไร บจ.ของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 จะฟื้นตัวดีขึ้นจากช่วงครึ่งแรกของปีนี้
เนื่องจากได้รับประโยชน์จากค่า Ft ที่ปรับลดลง ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานด้านไฟฟ้าของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนปรับลดลงด้วย อีกทั้งผลประกอบการกลุ่มพลังงานมีโอกาสได้อานิสงส์จากทิศทางของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าการกลั่น (GRM) ครึ่งหลังของปี 2566 จะออกมาดีกว่าครึ่งปีแรก
ด้าน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ดัชนี SET Index ปรับตัวลดลงจากแรงกดดันจากตลาดภูมิภาคเอเชียที่ปิดลบ โดยเฉพาะฝั่งจีน หลังบริษัท Evergrande ซึ่งเป็นอสังหารายใหญ่ในจีนยื่นล้มละลาย ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งจีนในระยะหลังมานี้เป็นในเชิงลบ ทั้งผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดหนี้สกุลหยวนที่ล้วนลดลงและต่ำกว่าคาด ส่งให้นักลงทุนกังวลเศรษฐกิจจีน ส่วนปัจจัยในประเทศ แม้จะได้แรงพยุงจากการเมืองที่ชัดเจนขึ้น แต่นักลงทุนยังมีท่าทีระมัดระวังการซื้อขาย ก่อนจะทราบผลการโหวตเลือกนายกฯ ในสัปดาห์หน้า