‘ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย’ (SET) จัดงานมหกรรมการลงทุน SET in the City 2022 เพื่อให้นักลงทุนเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อโอกาสใหม่ในการลงทุน ภายใต้แนวคิด ‘ค้นหาโอกาสใหม่ ให้คุณลงทุนอย่างมั่นใจ ในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น’ ระหว่างวันที่ 5-6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เปิดบ้านต้อนรับผู้ลงทุนหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ได้ผ่อนคลายลง ที่อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ถนนรัชดาภิเษก และรูปแบบออนไลน์ พร้อมร่วมมือ 22 บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ ให้คำปรึกษา วางแผน และบริการเปิดบัญชีลงทุน
งานในครั้งนี้ผู้ลงทุนสนใจเข้าร่วมฟังสัมมนาและขอรับคำปรึกษาวางแผนลงทุนกว่า 2,500 ราย และมีผู้รับชมทางออนไลน์ราว 7,000 ราย เพราะอัดแน่นทุกองค์ความรู้สำหรับนักลงทุน โดยเน้นไปที่มุมมองเศรษฐกิจทั้งไทยและต่างประเทศ วิเคราะห์แนวโน้ม ทิศทางการลงทุน ผ่าน 4 หัวข้อสัมมนา และ 6 เวิร์กช็อปสุดเข้มข้น เพื่อให้ผู้ลงทุนใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจลงทุนและจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนได้อย่างเหมาะสมทันสถานการณ์
และนี่คือประเด็นสำคัญในงาน SET in the City 2022 จาก 4 หัวข้อสัมมนา และ 6 เวิร์กช็อปตลอด 2 วัน
หัวข้อ ‘อัปเดตเศรษฐกิจ จับทิศลงทุน 2023’
ประเด็นสำคัญ (Key Takeaway)
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ฉายภาพกว้างทิศทางการลงทุนปี 2023 แม้ตลาดยังคงผันผวนต่อเนื่องจาก Investment Storm แต่จะเป็นโอกาสในการลงทุน
“ปี 2022 เป็นปีที่เซียนยังสยบ เพราะมีการผันผวนของการลงทุนตลอดทั้งปี และยังเกิดขึ้นกับสินทรัพย์ทุกประเภท โดย Investment Storm ส่งผลให้เกิดความท้าทาย ได้แก่ วิกฤตความขัดแย้งระหว่างประเทศ, วิกฤตราคาพลังงาน, วิกฤตอาหารโลก, ความปั่นป่วนในตลาดการเงินโลก, Recession ในสหรัฐอเมริกา และประเทศต่างๆ, โอกาสการเกิดวิกฤต Emerging Market และวิกฤตอสังหาริมทรัพย์จีน”
8 แนวโน้มการลงทุนปี 2023 ที่นักลงทุนต้องจับทิศให้ถูกและจับจังหวะให้ทัน
- การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ คาดว่าสิ้นปี 2022 จะมียอดนักท่องเที่ยวรวมถึง 10 ล้านคน โดยมาเลเซียเดินทางเข้ามามากเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วยอินเดีย สปป.ลาว สิงคโปร์ และกัมพูชา ดร.กอบศักดิ์เผยว่า การท่องเที่ยวจะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2023 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ
- การเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ ปีที่ผ่านมา BYD ยักษ์ใหญ่ EV จากจีน ตัดสินใจซื้อที่ดินจาก WHA มากถึง 600 ไร่ เพื่อลงทุนทำโรงงานประกอบรถไฟฟ้าในประเทศไทย และ AWS เองก็จับมือกับ Cloud Center ในไทย เตรียมลงทุนเรื่อง Cloud Service
- อุตสาหกรรมในช่วงต่อไปจะถูกทดแทนด้วยอุตสาหกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมในกลุ่ม Intermediate S-Curve ได้แก่ เกษตร อาหารชีวภาพ, ท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ, รถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานชั้นสูง, การขนส่ง, Digital & Start-up และ International Hub
- จับตาดอกเบี้ยขาขึ้น Fed อาจจะขึ้นดอกเบี้ย 5-6% เมื่อย้อนดูช่วง 20 ปีที่ผ่านมา Fed ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้อัตราเงินเฟ้อ 2 ครั้ง คือปี 2000 ขึ้นไปที่ 6.5% และปี 2007 ขึ้นไป 5.25% ฟากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดจะขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งช่วงปลายปีที่ 1.25% ในขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ประมาณ 3% และเริ่มทรงตัว
- ค่าเงินผันผวน บาทอ่อนต่อเนื่อง เมื่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ยเร็ว กดดันให้ธนาคารอื่นๆ ขึ้นดอกเบี้ยตาม แต่ก็วิ่งตามไม่ทัน ทำให้ความแตกต่างระหว่าง Fed กับธนาคารถ่างออกเรื่อยๆ ปัจจุบันสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน กำลังใช้นโยบายการเงินที่ต่างกัน ถ้าสถานการณ์นี้ยังไม่เปลี่ยน เงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งได้อีก นำไปสู่ความผันผวนของเงินทุกสกุล แม้กระทั่งเงินบาท
- การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก IMF ประมาณการณ์เศรษฐกิจเดือนตุลาคมปี 2022 ว่า โลกในปี 2023 เศรษฐกิจจะโตเพิ่มขึ้น 2.7% ขณะที่สหรัฐฯ ยุโรป และลาตินอเมริกา IMF คาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ 0.5-1.7% โดย 3 กลุ่มประเทศนี้การเติบโตอาจติดลบในปี 2023 มีแต่เอเชียที่ยังพอเติบโตได้
- ตลาดกระทิงและตลาดหมีมาแน่ หากดูผลประกอบการขององค์กรระดับโลกอย่าง Google, Meta, Snap และ Amazon หุ้นต่ำกว่าคาดจนกดดันตลาด แต่ก็อาจมีโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ เพราะจะเข้าสู่ภาวะตลาดหมีเต็มตัว หลังจากตลาดหมีจบลง ตลาดกระทิงกลับคืนมา 12 เดือนให้หลัง ผลตอบแทนจากการลงทุนคาดการณ์ 50% ในระยะเวลา 1 ปี
- วิกฤตในตลาดเกิดใหม่ในประเทศต่างๆ IMF เผยว่า 25% ของ Emerging Market มีปัญหาเรื่องหนี้แล้ว และ 60% ของประเทศรายได้ต่ำมีปัญหาเรื่องหนี้แล้วเช่นกัน
“แม้ว่าแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นจะมากระทบนักลงทุนต่อจากนี้ แต่วิกฤตคือโอกาส นักลงทุนต้องประคองตัวให้ดี แล้วโอกาสที่เปิดขึ้นก็จะเป็นของคุณ”
หัวข้อ ‘ปรับพอร์ต จัดทัพ รับดอกเบี้ยขาขึ้น’
ประเด็นสำคัญ (Key Takeaway)
ไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ กล่าวว่า “ทิศทางการลงทุนปี 2023 ตกช่วงวัฏจักรเศรษฐกิจโลกขาลง เงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยขาขึ้น หุ้นไทยจะเป็นความหวังของนักลงทุนไทย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงวัฏจักรเศรษฐกิจขาขึ้น สวนทางเศรษฐกิจโลก นักวิเคราะห์เศรษฐกิจหลายสำนักคาดว่า ปี 2023 GDP ไทยจะเติบโต 3-4% เศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวเท่าจุดเดิมก่อนโควิด-19
“จับตาการท่องเที่ยวจะเป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แม้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่การท่องเที่ยวทั่วโลกกลับคึกคัก คาดการณ์ปีหน้านักท่องเที่ยวเข้าไทยเฉลี่ย 2 ล้านคนต่อเดือน
“ปัจจุบันเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับต่ำ 2-3% และเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 6% คาดว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะขึ้นมาที่ 1.75% เชื่อมั่นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคุมเงินเฟ้ออยู่ ไม่กระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปีหน้า
“ด้านสภาพคล่องในตลาดยังอยู่ในระดับสูง แม้ Fed จะดึงเงินออกกว่าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เชื่อว่ากระแสเงินทุนต่างชาติยังไหลเข้าหนุนตลาดหุ้นไทยปีหน้า คาดสิ้นปีแตะ 1,700 จุด
“แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปีหน้ามีปรับตัวลดลงไม่มาก แต่มีโอกาสปรับขึ้นราว 5-10% เนื่องจากปัจจัยหนุนเยอะ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัว น่าจะมีโอกาสเห็นดัชนีบวกปรับขึ้น 100 จุด
“จับตา 4 ธีมลงทุนหุ้นไทยน่าสนใจ 1. ธีมหุ้นเปิดประเทศ Reopening เช่น กลุ่มโรงแรม ท่องเที่ยว และบริโภค 2. ธีมหุ้นแบงก์ ใช้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปีหน้าฟื้นตัว 3. ธีมหุ้นพลังงาน ควรมีติดพอร์ต เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะสงคราม และ 4. ธีมหุ้นโรงไฟฟ้า เกาะเทรนด์โลก การมาถึงของรถไฟฟ้ามีโอกาสเติบโตจากการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม
“สำหรับการลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังน่าสนใจ เพราะภาคธุรกิจมีการลงทุนระยะยาวเพื่อส่งออกต่อเนื่อง ในขณะที่หุ้นสหรัฐฯ ราคาหุ้นปรับตัวลงค่อนข้างมาก แนะเลือกหุ้น Healthcare และ Utility หากลงทุนระยะยาว 5 ปีขึ้นไป ด้านการลงทุนหุ้นโลก ต้องเลือกประเทศที่ยังมีโอกาสเติบโตได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การลงทุนหุ้นสหรัฐฯ และหุ้นโลก หากตลาดยังไม่เป็นขาขึ้นชัดเจนอย่าเพิ่งรีบลงทุน
“ส่วนการลงทุนตราสารหนี้ Bond Yield สหรัฐฯ ขึ้นมาระดับ 4% ระยะสั้นอยู่ที่ 4.7% และมีโอกาสไปแตะที่ 5% มีโอกาสกำไรจากส่วนต่างราคา ขณะเดียวกันการลงทุนในหุ้นกู้ Investment Grade ยังให้ผลตอบแทนที่ดี 3-4%
“4 ปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันตลาดหุ้นไทยปีหน้า ได้แก่ 1. เงินเฟ้อในประเทศจะปรับตัวลงได้หรือไม่ 2. หากนักท่องเที่ยวไม่เข้าประเทศตามคาด อาจฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยในช่วงฟื้นตัว 3. หากผลการเลือกตั้งปีหน้าไม่เป็นที่ยอมรับ 4. Fed จะค้างดอกเบี้ยที่ระดับ 5% ไว้นานแค่ไหน คุมเงินเฟ้อสหรัฐฯ อยู่หรือไม่”
วิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY มองว่า “ประเทศพัฒนาอย่างสหรัฐฯ ยุโรป และอังกฤษ ยังชะลอตัวหรือมีโอกาสติดลบ ทำให้เงินเฟ้อทั่วโลกมีโอกาสปรับตัวลง ในขณะที่เศรษฐกิจจีน อินเดีย และอาเซียน มีแนวโน้มขยายตัวได้ระดับ 3-4%
“หากเศรษฐกิจจีนและอินเดียขยายตัวดี อาจช่วยประคองเศรษฐกิจโลกได้ เนื่องจากทั้งสองประเทศเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค อีกทั้งเงินลงทุนในฝั่งสหรัฐฯ มีโอกาสไหลกลับมาฝั่งตลาดประเทศเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย
“บล.กรุงศรี คาดการณ์ปีหน้า แม้เงินบาทอ่อนค่า แต่เงินทุนต่างชาติยังไหลต่อเนื่อง แนวโน้มเงินบาทกลับมาแข็งค่ายังมี สำหรับตลาดหุ้นไทยที่มีปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว คาด GDP ปีหน้าขยายตัวระดับ 3.6%
“ช่วงที่ตลาดปรับตัวลงเป็นจังหวะดีสำหรับการลงทุนะยะยาว 5-10 ปี โดยเฉพาะการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงในปีที่ผลตอบแทนปรับตัวลงแรง แต่ในปีถัดไปผลตอบแทนปรับตัวขึ้นแรงได้ เช่น การลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ทั่วโลก อสังหาริมทรัพย์
“ด้านกองทุนตราสารหนี้ หากลงทุนระยะยาว 6 เดือนถึง 1 ปีขึ้นไป ยังลุ้นผลตอบแทนระดับ 1-2% ในบางกองทุน คาดการณ์ปีหน้าคณะกรรมการนโยบายการเงินมีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายค่อยเป็นค่อยไป
“ส่วนการลงทุนหุ้นโลก หุ้นสหรัฐฯ P/E ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 15 เท่า ถือว่าน่าสนใจ หากมีระยะเวลาลงทุนเกิน 5 ปีมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเป็นบวก เทียบตลาดหุ้นอื่นๆ ปรับตัวลงมาต่ำมาก ทั้งตลาดหุ้นยุโรป ตลาดหุ้นฮ่องกง และตลาดหุ้นเวียดนาม หากเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจประเทศดังกล่าวจะฟื้นตัว ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้ซื้อหุ้นราคาถูก
“สินทรัพย์ทางเลือกทั่วโลกยังน่าลงทุน เช่น อสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะรีทไทยและสิงคโปร์ ผลตอบแทนวันนี้อยู่ที่ระดับ 6-8% เป็นจังหวะเข้าที่น่าสนใจ ยังมีโอกาสรับประโยชน์จากค่าเช่าที่ปรับขึ้นเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อ
“แนะจัดพอร์ตลงทุน 5 ปี แบบผสมผสาน 80% ลงทุนพอร์ตหลัก (Core Portfolio) เน้นลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ กระจายการลงทุนทั่วโลก และอีก 20% ลงทุนพอร์ตเสริม (Satellites Portfolio) และจำกัดสัดส่วนในพอร์ตนี้ไม่เกิน 5% ต่อกองทุน”
หัวข้อ ‘วิเคราะห์เจาะ Theme เด่น Trend เติบโต’
ประเด็นสำคัญ (Key Takeaway)
ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เผยว่า หุ้นไทยปีนี้เสมอตัวติดลบ 2% แต่เซ็กเตอร์ที่ยังทำได้ดีจะเป็นกลุ่มการท่องเที่ยว การเดินทาง และอสังหาริมทรัพย์ ส่วนกลุ่มที่ปรับตัวลงมากกว่าตลาด เช่น โทรคมนาคม วัสดุก่อสร้าง ปิโตรเคมี ด้านสินทรัพย์ตอนนี้ Dollar Index เป็นพระเอก
“ปีหน้าจะเห็น 3 จุดพีคสำคัญที่จะส่งผลต่อการฟื้นตัวของตลาดหุ้นทั่วโลก หยวนต้าคาดการณ์เกิดในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ของปี 2023 สิ่งแรกคือ ดอลลาร์สหรัฐน่าจะใกล้พีคแล้ว และปีหน้าจะให้ผลตอบแทนไม่ดีเท่าปีนี้ สิ่งที่สองคือ Bond Yield น่าจะพีคส่งผลให้ตลาดหุ้นเสถียรมากขึ้น สิ่งสุดท้ายคือ น่าจะได้เห็นจุดพีคของนโยบายการเงินสหรัฐฯ
ธีมการลงทุนปี 2023
1. แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น: กลุ่มธนาคารและประกัน
2. การฟื้นตัวของภาคบริโภคและการเปิดประเทศเต็มที่: กลุ่มสายการบิน ร้านอาหาร โรงแรม และอสังหาริมทรัพย์
3. กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากราคาสินค้า Commodities ปรับตัวลดลง: ปิโตรเคมี ค้าปลีก และโรงไฟฟ้า
4. การลงทุนรอบใหม่ของธุรกิจ EV Car: ยานยนต์และนิคมอุตสาหกรรม
5. แผน PDP ฉบับใหม่ของไทย: กลุ่มโรงไฟฟ้า
6. อุตสาหกรรมที่ผ่านพ้นจุดต่ำสุดและกำลังเริ่มฟื้นตัวในครั้งปีหลังปี 2023: กลุ่มปิโตรเคมี
“แต่ถ้ามองหุ้นรายตัวที่น่าสนใจคือ ธนาคาร ค้าปลีก และโรงไฟฟ้า”
สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ เผยสองสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดตลาดหมีในตอนนี้ “สงครามรัสเซีย-ยูเครน และการระบาดของโควิด-19 แต่การเปลี่ยนเทรนด์ในตลาดมีเงื่อนไขมากกว่านั้น หากดู Fund Flow ช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่านักลงทุนกลับเข้าตลาดแล้ว สิ่งที่ต้องจับตาในปีหน้าคือเรื่องของ Credit Event เพราะเวลาเกิด Economic Bubble จะเกิดที่ Credit Market แต่หากเศรษฐกิจไม่ได้เกิดการหดตัวรุนแรง
“จะออกจากตลาดหมีได้ มี 2 เงื่อนไขคือ เศรษฐกิจผ่านจุดต่ำสุด และ Fed มีการเปลี่ยนท่าที ถ้าออกด้วยสองเหตุนี้ผลตอบแทนจะให้มากกว่าการออกด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง
“การลงทุนฝั่งสหรัฐฯ เลือกหุ้นที่มีอัตราการเติบโตแบบเซฟๆ ครึ่งปีแรกในกลุ่ม Healthcare, Consumer Services และ Staples ส่วนครึ่งปีหลังเชื่อว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมาแรง ฝั่งตลาดยุโรปมองหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยี และหุ้นเปิดเมือง เช่น LVMH, Volkswagen, SAP หรือ ASML ฝั่งจีนถ้าเป็นหุ้นเปิดเมือง หุ้นพลังงานไฟฟ้า เช่น Moutai, ICBC, CATL และ TSMC สำหรับหุ้นไทยที่น่าสนใจคือ CPALL, BBL, CBG, AOT, BLA และ HANA”
สุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บมจ.หลักทรัพย์ กสิกรไทย กล่าวว่า “ปัจจัยบวกในปี 2023 แนวโน้มการเติบโตที่ดีของประเทศไทยและเงินเฟ้อที่ลดลง ซึ่งปีนี้ใครลงทุนน้ำมันจะได้ผลตอบแทนค่อนข้างดี แต่ปีหน้าเงินเฟ้ออาจจะลดลง และการเติบโตยังอยู่ขาขึ้น แต่ถ้าการเติบโตชะลอตัวและเงินเฟ้อลงแรง ตราสารหนี้กลายเป็นสิ่งที่น่าลงทุนที่สุด
“ธีมลงทุนหลักในปี 2023 ที่น่าสนใจ เช่น การท่องเที่ยว ความงาม โรงไฟฟ้า แต่เหนือสิ่งอื่นใดต้องดูรายละเอียดของหุ้นแต่ละตัว เพื่อกำหนดการลงทุนระยะสั้นและระยะยาวตามเป้าหมายการลงทุนของแต่ละคน”
หัวข้อ ‘เปิด Roadmap สู่การลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล’
ประเด็นสำคัญ (Key Takeaway)
ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ฉายภาพกว้างก่อนกางโรดแมปเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ถึงภาพรวมของตลาดสินทรัพย์ทั่วโลกว่า “ตลาดตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดอยู่ที่ประมาณ 119 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามมาด้วยตลาดหุ้น 91.67 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีหลักทรัพย์รวมกว่า 59,400 หลักทรัพย์ มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันประมาณ 8.8216 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนตลาดทองคำอยู่ที่ 10.93 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่ารวมกันอยู่ที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
“ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีเหรียญที่ซื้อขายกันอยู่ทั้งหมดราว 9,426 เหรียญ ปริมาณการซื้อขายราว 54,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน การซื้อขายมากที่สุดอยู่ในกลุ่มสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) มากที่สุดคือ บิทคอยน์ (Bitcoin) ราว 40% ของตลาด และ Ethereum (ETH) อยู่ที่ 17% ในขณะที่ Investment Token และ Utility Token มีเพียงแค่ 1% ของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด
“ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวจาก Traditional Asset สู่ Digital Asset เช่น รับ-ส่งข้อมูลภายในรูปแบบดิจิทัล ทำให้นักลงทุนและผู้ระดมทุนได้รับความสะดวกมากที่สุด มีการปรับการให้บริการในรูปแบบของไฮบริด เช่น ซื้อขายเป็นหน่วยย่อยในสินทรัพย์ต่างประเทศด้วยเงินเป็นบาทผ่าน บล.พัฒนาตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) สำหรับผู้ประกอบการ SMEs และ Start-up ไปจนถึงการ TDX ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล อนาคตจะเปิดระดมทุนผ่านการออก Investment Token หรือ Utility Token ปัจจุบันเริ่มทำงานร่วมกับพันธมิตรในการที่จะออกผลิตภัณฑ์แล้ว
“ความท้าทายในตอนนี้อยู่ที่มาตรการด้านภาษีจากการซื้อขาย ได้แก่ Capital Gain Tax ปัจจุบันมีการผ่อนปรนให้สามารถนำผลขาดทุนมาหักลบกับกำไรในภาษีปีเดียวกัน สำหรับธุรกิจกรรมที่ผ่าน Exchange ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. และ Value-Added Tax ปัจจุบันอยู่ระหว่างผ่อนปรนให้ยกเว้น VAT สำหรับธุรกรรมที่ผ่าน Exchange ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.
“ปัจจุบันยังไม่สามารถทำ STO ได้ เนื่องจากต้องแก้ไข พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ เพื่อรองรับการออกเสนอขายหลักทรัพย์ในรูปแบบดิจิทัล และประเด็น Voting Rights ที่อาจต้องมีการปรับแก้ไขใน พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด หรือไม่ ต้องติดตาม”
นอกจาก 4 หัวข้อสัมมนาที่อัดแน่นไปด้วยแนวทางการลงทุน ปีนี้ยังเตรียมเวิร์กช็อปเข้มข้นเพื่อนักลงทุนมือใหม่โดยเฉพาะ ที่ได้กูรูตัวจริงมาสอนกันแบบเจาะลึก Step-by-Step
สอนมือใหม่ ลงทุนออนไลน์ ให้เทรดได้ ใช้เครื่องมือเป็นกับ Streaming
ต้าร์-ธนิน คุณความดี The Money Game และ พัลลภ อัศววงศ์ไพศาล ผู้อำนวยการธุรกิจหลักทรัพย์รายย่อย บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เจาะลึกการใช้งาน Streaming เครื่องมือการลงทุนแบบครบวงจร ให้คุณดูหุ้นแบบเรียลไทม์ พร้อมเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค มีฟังก์ชันที่ให้บ่อยๆ คือ Sum เป็นการสรุปภาพรวมตลาด, Watch ลิสต์หุ้นที่สนใจเก็บไว้ได้, Quote สามารถค้นหาชื่อหุ้นที่สนใจ, Bid ดูความเคลื่อนไหวหุ้นที่สนใจ, Tricker แสดงการซื้อขาย ณ ขณะนั้น รายวินาที และ Portfolio ดูหุ้นในพอร์ตของเรา นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น Stock Screener โปรแกรมคัดกรองหุ้น สามารถเซ็ตเงื่อนไขตามที่เราต้องการได้, Sense & Notification Settings เหมือนเป็นเลขาส่วนตัวที่คอยเตือนว่าหุ้นที่เราเซ็ตไว้ถึงเวลาเหมาะสมที่จะซื้อหรือขายแล้ว
ลองเทรดทีละขั้นตอนบนแพลตฟอร์ม Streaming ได้ที่คลิปนี้
สร้างพอร์ตลงทุน ทำได้เองไม่ง้อเซียน
ดร.เมธี จันทวิมล Managing Partner บลน.ฟินโนมีนา แนะนำ 4 ขั้นตอนวางแผนการลงทุนอย่างง่าย เริ่มจากสำรวจตนเอง กำหนดเป้าหมาย วางแผนการลงทุน และลงมือปฏิบัติ สำหรับมือใหม่สามารถเข้าไปทดลองสร้างแผนลงทุนเพื่ออนาคตที่ https://www.set.or.th/investnowstarter/
แต่สำหรับคนที่รู้แล้วว่าตัวเองเหมาะกับการลงทุนแบบไหนหรือมีเป้าหมายอะไร และอยากเริ่มต้นวางแผนการลงทุน ดร.เมธี แนะ 4 สิ่งต้องรู้ก่อนจัดพอร์ตลงทุน
- เวลา ต้องรู้ว่าเรามีระยะเวลาลงทุนเท่าไร และเงินที่เก็บมาจะใช้เมื่อไร เช่น ให้ลูกหลังเรียนจบ และเราให้เวลากับการลงทุนมากน้อยแค่ไหน
2. ผลตอบแทนและความเสี่ยง
3. การทำ Asset Allocation เราวางเงินผิดที่หรือไม่ วางไม่สมดุลหรือเปล่า หรือวางแล้วไม่มีการทบทวน
4. เป้าหมายชัดหรือไม่ เป็นไปได้หรือเปล่า และอย่าเสี่ยงโดยการวางเป้าหมายทั้งหมดไว้ในพอร์ตเดียว
“แล้วสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะควรเป็นเท่าไร ลองเช็กว่าปีนี้ถ้าคุณถือหุ้น 100% และพอร์ตติดลบ 40% ก็ถือว่าสมเหตุสมผล มีความเป็นไปได้ที่บางคนถือหุ้นน้อยแต่ขาดทุนเยอะ แสดงว่าการลงทุนของเรากระจุกตัวในหุ้นบางกลุ่มมากเกินไปก็เป็นได้
“หลักการง่ายๆ ในการจัดพอร์ตมีอยู่ 3 แบบคือ Local Asset Allocation, Global Asset Allocation และอีกโมเดลที่เริ่มใช้กันคือ Core & Satellite พอร์ตถือระยะกลางกองหนึ่งและเก็งกำไรบางส่วน สัดส่วน 80-20 โดยที่เงินส่วนใหญ่อยู่ใน Core Port ถือระยะยาว เช่น Provident Fund
“ก่อนเลือกสินทรัพย์ลงทุนเข้าพอร์ต สิ่งที่คุณต้องทำคือ จัดวางเงินลงทุนในผลิตภัณฑ์การเงินต่างๆ อย่างไร เช่น เงินฝาก ตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้เอกชน ที่ดินเพื่อการลงทุน กองทุนตราสารหนี้ เพื่อที่คุณจะได้เห็นภาพกว้างว่าจะจัดสัดส่วนการวางเงินอย่างไรให้ตอบโจทย์เป้าหมายชีวิต อย่าลืมทบทวนพอร์ตประจำปี เพื่อจัดพอร์ตให้ตรงตามเป้าหมายและง่ายต่อการพูดคุยกับที่ปรึกษาทางการเงิน”
เปิดตำราหาหุ้น ฉบับมือใหม่ สไตล์ KFC
กวี ชูกิจเกษม แชร์เทคนิคเลือกหุ้นฉบับมือใหม่ เริ่มจากเลือกบริษัทพื้นฐานหุ้นดี และควรเป็นบริษัทที่เรารู้จัก จากนั้นรอจังหวะซื้อหุ้นตอนราคาถูก แล้วถือยาวๆ กระจายความเสี่ยง และติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง คือกุญแจสำคัญของความสำเร็จของนักลงทุน
“ความสำเร็จของการลงทุนในหุ้นไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณจะเก่งหรือฟลุก แต่อยู่ที่ว่าคุณจะหาความรู้ได้แค่ไหน จงหาความรู้เพื่อการคัดเลือกหุ้นที่ดีเข้าพอร์ตการลงทุน”
‘บริษัทที่ดี’ ต้องมี 6 คุณสมบัติ
- บริษัทต้องมีกำไรเติบโตสม่ำเสมอในระยะยาว ดูง่ายๆ จากกำไรสุทธิต่อหุ้น และเลี่ยงบริษัทที่มีกำไรสับสน เพราะเป็นไปได้ว่าบริษัทกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หรือมีภูมิคุ้มกันต่อภาวะเศรษฐกิจต่ำ
2. บริษัทต้องมีอำนาจต่อรองกับลูกค้าสูง ซึ่งบริษัทที่มีความได้เปรียบระยะยาวมักมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงสม่ำเสมอ สะท้อนถึงอำนาจในการต่อรองสูง
3. บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจ ให้ดูที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานต่อรายได้ เช่น ค่าโฆษณา ค่าผู้บริหาร บริษัทไหนมีอัตราส่วนนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แปลว่าไม่มีความสามารถในการแข่งขัน และเมื่อไรที่เศรษฐกิจตกต่ำมักประสบภาวะขาดทุน
4. บริษัทมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง ดูว่ามีศักยภาพในการจ่ายดอกเบี้ยมากน้อยแค่ไหน
5. บริษัทมีความสามารถในการแข่งขัน จะต้องมีผลตอบแทนผู้ถือหุ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ย สะท้อนว่าบริษัทนั้นใช้กำไรที่เก็บไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. บริษัทนั้นผู้บริหารต้องมีฝีมือและธรรมาภิบาล
“อย่ากลัวเมื่อเกิดวิกฤต รอซื้อของถูก อดทนลงทุนระยะยาว ต้องมีวินัย ปล่อยให้เงินทำงานไปเรื่อยๆ และต้องไม่ลืมว่าไม่มีสินทรัพย์ไหนให้ผลตอบแทนสูงสุดทุกปี ดังนั้นต้องกระจายความเสี่ยง ซื้อหลายสินทรัพย์ เก่งอะไรก็ลงทุนอย่างนั้น คนประสบความสำเร็จเขาลงทุนในสิ่งที่เขาเข้าใจ ความเสี่ยงเกิดขึ้นจากการไม่รู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่”
เปิดสูตรลงทุนหุ้นต่างประเทศ เทรดอย่างมืออาชีพ
รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บมจ.หลักทรัพย์ บัวหลวง ฉายภาพทิศทางการลงทุนหุ้นต่างประเทศ พร้อมเครื่องมือที่จะช่วยลดความผันผวนจากการลงทุนต่างประเทศโดยตรง ปัจจุบันสามารถเลือกลงทุนต่างประเทศผ่านเครื่องมือ Depositary Receipt (DR) ที่เปิดโอกาสให้ลงทุนในต่างประเทศผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทยได้ เสมือนได้ถือครองหลักทรัพย์ต่างประเทศทางอ้อม
หัวใจสำคัญของการลงทุนใน DR จะต้องวิเคราะห์
- หลักทรัพย์อ้างอิง เช่น หุ้น หรือ ETF
- ดัชนีอ้างอิงของหลักทรัพย์อ้างอิงของ DR
- ผู้ออก DR คือใคร
- อัตราแลกเปลี่ยน
- สิทธิประโยชน์ที่ผู้ถือ DR ได้รับ
“วิธีการลงทุนใน DR สามารถเข้าไปบนแอปพลิเคชัน Streaming จะเลือกลงทุนแบบทั่วไป หรือลงทุนแบบ DCA และ VA ก็ได้ อย่างไรก็ดี การลงทุนในต่างประเทศก็มีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนในประเทศอยู่แล้ว หากไม่มีเวลาดูข้อมูลเชิงลึก การลงทุนในหุ้นรายตัวก็อาจจะยากกว่าการลงทุนในดัชนี”
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) ชี้ให้เห็นความผันผวนที่มากับการลงทุนต่างประเทศ มีหลายปัจจัย หลักๆ คือเรื่องของเศรษฐกิจการเงินในประเทศนั้นๆ กฎระเบียบ ความเสี่ยงตลาด ความเสี่ยงจากธุรกิจที่ลงทุน แต่ความผันผวนจะลดลงเมื่อคุณลงทุนต่างประเทศผ่าน SET ที่โดดเด่นคือเรื่องการชำระเงินและส่งมอบ ต่อมาคือเรื่องความน่าเชื่อถือของคู่สัญญา และอัตราแลกเปลี่ยน
“หากสนใจลงทุนต่างประเทศผ่าน SET ตัวเลือกในตอนนี้ นอกจาก DR ที่ให้ผลตอบแทนแบบสินทรัพย์รายตัวหรือดัชนีหลัก ค่าธรรมเนียมรวมอยู่ในราคาซื้อขายแล้ว ยังมี DRx ซึ่งให้ให้ผลตอบแทนแบบสินทรัพย์รายตัวหรือดัชนีหลักเช่นกัน รวมถึงค่าธรรมเนียมที่รวมอยู่แล้ว เมื่อเทียบกับ ETF อาจตอบโจทย์นักลงทุนที่อยากกระจายการลงทุนมากกว่า”
เจาะลึกวิธีการและโอกาสลงทุนต่างประเทศผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทยได้ที่คลิปนี้
สร้างโอกาสทำกำไร ในกราฟเทคนิค กับ Wave Rider
โค้ชปุย-ประกาศิต ทิตาราม, CEWA แนะวิธีการใช้งาน Indicator ต่างๆ ที่มือใหม่ต้องมีติดตัว ตั้งแต่การบอกข้อดีของการใช้กราฟเทคนิค เพื่อบอกแนวโน้มราคาหุ้นตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน และเห็นการเปรียบเทียบเชิงปริมาณการซื้อขายในปัจจุบัน เพื่อประเมินสถานการณ์ได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในตลาด เมื่อเห็นสถิติจะเห็นโอกาสและความน่าจะเป็น
“วิธีดู Candlestick ง่ายๆ คือให้เช็กราคาปิด ถ้าราคาปิดกองอยู่ท่อนบนเรียกว่า Bullish Bar แปลว่าแท่งถัดไปมีโอกาสขึ้นต่อ แท่งราคายิ่งยาว หางราคายิ่งยาวเท่าไร โอกาสขึ้นมีสูง ในทางกลับกันถ้าราคาปิดอยู่ที่โซน 3 เรียกว่า Bearish Bar แปลว่ามีโอกาสลงต่อ ส่วนวิธีใช้กราฟเทคนิคให้ตั้งแบบ Log Scale ในแกน Y
“โดยปกติเวลาใช้กราฟให้ใส่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เข้าไปด้วย เพื่อให้ดูว่าตอนนี้ราคาเป็น Up Trend หรือ Down Trend ตราบใดที่ราคายังอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยก็สามารถถือได้เรื่อยๆ สัญญาณเทคนิคในการใช้เส้นค่าเฉลี่ยเรียกว่า Cross Signal หากค่าเฉลี่ย 2 เส้นตัดกัน ถ้าหุ้นวิ่งลงจนดีดกลับเกิดเส้นค่าเฉลี่ยตัดกันจะเกิด Golden Cross แปลว่าตลาดกำลัง Up Trend แต่ถ้ามันเริ่มเลี้ยวลง ราคาลงไปอยู่ใต้เส้นค่าเฉลี่ยอีกครั้งจน 2 เส้นตัดกันจะเกิด Dead Cross แปลว่าตลาดกำลัง Down Trend
“สร้างเงื่อนไขด้วย EMA ระยะสั้น 5 วัน สำหรับ Run Profit และเส้น 15 วันสำหรับคนที่ชอบเล่นรอบเก็งกำไร ส่วนเส้น 35 หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีส่วนใหญ่เวลาขึ้นแล้วพัก ไม่ค่อยหลุดเส้น 35 วัน สำหรับเส้น 90-100 เอาไว้ตัดสินใจว่าจะเป็น Up Trend หรือ Down Trend จริงหรือไม่
“เทคนิคการใช้ Indicator ให้ตั้งค่ากราฟอยู่ที่ 120-150 แท่ง จะช่วยทำให้เห็นภาพรวมตลาดได้ดี เลือกใช้ Indicator ให้เหมาะกับหน้าที่ แนะนำ MACD เพื่อดูว่าราคาหุ้นวิ่งแรงหรือไม่, RSI ใช้สำหรับชี้วัดการแกว่งตัวของราคาว่ามีภาวะการซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือการขายมากเกินไป (Oversold)”
เรียนรู้วิธีอ่านกราฟเทคนิคแบบ Step-by-Step ได้ที่คลิปนี้
สอนเทรด TFEX FX Futures แบบ Step-by-Step ด้วย MT4
จิระเดช คูหากาญจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Top Trader แนะนำให้รู้จักเครื่องมือใหม่ของตลาดที่เรียกว่า FX Futures หรือ Currency Futures ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ได้แก่ EUR/USD Futures ที่อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนเงินยูโรต่อเงินดอลลาร์สหรัฐ และ USD/JPY Futures ที่อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐต่อเงินเยน ซึ่งเป็นคู่เงิน (Currency Pairs) ที่ได้รับความนิยมซื้อขายทั้งในและต่างประเทศ
“สิ่งที่ต้องระวังเวลาเล่นกับ FX Futures คือ ความผันผวนขอเหวี่ยงของตัวราคา ต้องวาง Stop Loss ให้เหมาะสม เพื่อการรักษาเงินต้นและกำไรจากการลงทุน จุดเด่นของการใช้ MT4 คือ ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน ใช้เพื่อเก็งกำไรราคาตลาดเงินที่สำคัญ โดยรวมถึง Forex สินค้าโภคภัณฑ์ หุ้น ดัชนี สามารถสร้างกลยุทธ์การเทรดอัตโนมัติของตนเองได้”
เรียนรู้วิธีใช้ MT4 เพื่อพิชิตเป้าหมายการลงทุน และกำหนดกลยุทธ์ลงทุนเพิ่มเติมได้ที่คลิปนี้
ผู้ที่สนใจอยากชมงานสัมมนาออนไลน์ ‘SET in the City 2022’ ย้อนหลังแบบเต็มๆ ตลอด 2 วัน ได้ที่ Facebook: SET Thailand และ YouTube: SET Thailand พร้อมดาวน์โหลดเอกสารประกอบสัมมนาได้ที่ www.setinvestnow.com/setinthecity
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 8 หุ้นเนื้อทอง เซียนหุ้น รุมตอม ร่วมลงทุนติดอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่
- 9 หุ้น จ่ายเงินปันผลสูงมากกว่า 5% ตลอด 5 ปี แถมราคาตั้งแต่ต้นปียังบวก
- 10 หุ้น ขึ้น XD จ่ายเงินปันผลสูงสุดในรอบเดือน ก.ย. 65