ดัชนีหุ้นไทย (SET) เริ่มอ่อนตัวลงอีกครั้ง หลังก่อนหน้านี้ขึ้นมาเคลื่อนไหวใกล้บริเวณ High เดิมที่ 1,650-1,660 จุด โดยกลุ่มที่ขึ้นนำตลาดก่อนหน้านี้ ทั้งกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีที่ได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันปรับขึ้นต่อเนื่อง และกลุ่มธนาคารที่คาดหวังต่อผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัว เริ่มเผชิญแรงขายทำกำไร และคาดว่า SET ยังได้รับปัจจัยกดดันจากแรงขายทำกำไรในหุ้นขนาดใหญ่อยู่ เนื่องจากมองทิศทาง Fund Flow มีโอกาสเคลื่อนย้ายไปสู่ตลาดพัฒนาแล้วอย่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากผลการดำเนินงานใน 3Q64 ที่โดดเด่น
โดยจากการรายงานมีกว่า 82% ของบริษัทจดทะเบียนใน S&P 500 รายงานงบดีกว่าคาด และประเมินว่ากำไรรวมในไตรมาสนี้จะเติบโตถึง 30% ในขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานใน 3Q64 ของบริษัทจดทะเบียนใน SET ไม่ดีนัก จากผลกระทบการระบาดของโควิดระลอก 3 และราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นเร็ว กระทบต่อต้นทุนการดำเนินงาน
ทั้งนี้ แนวโน้มข้างหน้ามีประเด็นต่างๆ ที่ต้องติดตาม ได้แก่
- หลังการเปิดประเทศ ติดตามตัวเลขนักท่องเที่ยวที่จะกลับเข้ามาได้มากน้อยแค่ไหน หรือในทางกลับกัน การที่เปิดประเทศหรือเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น จะทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อกลับมาเร่งตัวขึ้นหรือไม่
- ภาพรวมเศรษฐกิจโลก หลังจีนเริ่มมีสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัว จากการเผชิญวิกฤตพลังงาน ปัญหาขาดแคลนแรงงานและซัพพลายเชน รวมถึงการเข้าไปควบคุมธุรกิจในภาคส่วนต่างๆ
- ภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัว และนโยบายการเงินของ Fed ในส่วนของการลดทอน QE และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนปัจจัยในประเทศช่วงนี้ ติดตามรายงานงบในไตรมาส 3 ซึ่งเริ่มที่กลุ่มธนาคาร
โดย SCBS คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 3Q64 ลดลง 28%QoQ (15% ถ้าตัดกำไรจากเงินลงทุนใน TIDLOR ใน 2Q64 ของ BAY ออกไป) แต่จะเพิ่มขึ้น 23%YoY ทั้งนี้ เมื่อเทียบ QoQ คาดว่ากำไรจะลดลง โดยมีสาเหตุมาจากการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นและรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่ลดลง ในขณะที่เมื่อเทียบ YoY คาดว่ากำไรจะฟื้นตัวได้ดี หลักๆ เกิดจากการตั้งสำรองลดลง
ด้านแนวโน้มกำไรในปี 2565 คาดว่ากำไรของกลุ่มธนาคารจะฟื้นตัวต่อเนื่องอีก 15% ในปี 2565 (เทียบกับ 21% ในปี 2564) โดยได้รับการสนับสนุนหลักจากภาระตั้งสำรองที่ลดลงจากการผ่อนผันการจัดชั้นหนี้ และการกันเงินสำรองสำหรับลูกหนี้สินเชื่อที่เข้าร่วมโครงการปรับโครงสร้างหนี้แบบเบ็ดเสร็จในระยะยาว
ดังนั้น การอ่อนตัวของราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารจากแรงขายทำกำไรเพื่อปรับพอร์ต ผมมองใช้เป็นโอกาสในการเข้าซื้อสะสมเพื่อการลงทุน โดย Stock Picks ในกลุ่ม แนะนำ KBANK และ BBL ทั้งนี้ แนวโน้ม SET ยังเคลื่อนไหวผันผวน และอาจเผชิญปัจจัยลบต่างๆ ที่ได้กล่าวไป ส่งผลให้ผมมอง SET มีโอกาสอ่อนตัวลงหาบริเวณ 1,600 จุดอีกครั้ง และภาพรวมดัชนียังเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,660 จุด ซึ่งกลยุทธ์ยังใช้ลักษณะ Selective Buy โดยจุดซื้อที่ดีอยู่ที่บริเวณกรอบล่างที่ระดับ 1,600 จุด ส่วนจุดขายทำกำไรอยู่ที่บริเวณกรอบบน 1,660 จุด หรือพูดง่ายๆ คือ ใช้การขึ้นขายลงซื้อตามกรอบ
ดังนั้น กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่อย่างพลังงานและธนาคาร รวมถึงกลุ่ม Reopen ที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ ผมแนะนำรอซื้อบริเวณ 1,600 จุด จะได้ต้นทุนที่ได้เปรียบกว่า เนื่องจากการเข้าซื้อตอนนี้ไม่ค่อยมี Upside แล้ว เพราะราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาต่อเนื่องก่อนหน้านี้
ขณะที่การ Selective Buy ในช่วงนี้ ผมแนะนำหันมามองกลุ่ม Defensive เพื่อใช้เป็นหลุมหลบภัย ในช่วงที่ดัชนีมีความเสี่ยงด้าน Downside กลับลงมาหาบริเวณ 1,600 จุด อีกครั้ง โดยแนะนำกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งชอบ BCH และ CHG จากผลการดำเนินงานใน 3Q64 ที่เติบโตโดดเด่น โดยเฉพาะ BCH ซึ่งราคาหุ้นปัจจุบัน มีมูลค่าน่าสนใจ โดยหากอิงกำไรปีหน้า จะเทรด P/E ที่ระดับ -2 S.D. แล้ว และอีกกลุ่มอย่างโรงไฟฟ้าที่มีมูลค่าน่าสนใจเช่นเดียวกัน และผลการดำเนินงานใน 3Q64 เติบโตทั้ง QoQ และ YoY ซึ่งชอบ GULF และ GPSC สุดท้ายให้ข้อคิดในช่วงดัชนีที่ดูเหมือนเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบไว้แบบนี้ครับ คือ อย่ากลัวขายหมู แต่ลงให้กล้าซื้อ