จากสถานการณ์หุ้น IPO ในปี 2568 ที่ซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด โดยหุ้น 13 จาก 17 ตัว มีราคาต่ำจอง จากราคาเสนอขาย หลังเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จนนักลงทุนตั้งคำถามว่า เป็นเพราะภาวะตลาดที่ยังไม่ฟื้น หรือตั้งราคาเสนอขายที่แพงเกินไปกันแน่ ?
วันนี้ (21 พ.ย.2568) สรวิศ ไกรฤกษ์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์ และสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์หุ้น IPO เริ่มเข้าสู่ช่วงขาลงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้จากมูลค่าเสนอขายรวมอยู่ที่หลักหมื่นล้านบาท ซึ่งลดลงจากจุดพีคหลักแสนล้านบาท เมื่อปี 2558 ด้วยหุ้น IPO ได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดที่ซบเซาลงค่อนข้างมาก ทำให้หลายบริษัทที่มีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาด ชะลอแผน หรือยกเลิกแผนไป เนื่องจากมองว่าไม่คุ้มค่ากับการเข้ามาระดมทุน
สำหรับวิธีกำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่หลายคนมองว่าตั้งราคาแพงเกินไปนั้น สรวิศ มองว่า วิธีกำหนดราคาปัจจุบันนั้นเหมาะสม และเป็นหลักสากลที่ทำกันมานานแล้ว โดยมีหลักๆ ด้วยกัน 2 วิธีได้แก่
1. Book Building ซึ่งผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ (Underwriter) ที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) และบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ (Issuer)จะร่วมกันกำหนดช่วงราคา IPO (IPO Price Range) ที่จะเสนอขายต่อนักลงทุนสถาบัน ด้วยการประเมินจุดราคาเสนอขายที่เหมาะสม ซึ่งดีมานด์และซัพพลายตัดกันว่าอยู่ที่ราคาเท่าไร ซึ่งจะได้ราคาที่เหมาะสมไม่ว่าราคาตลาดจะขึ้นหรือลงในภายหลังก็ตาม
2. เปรียบเทียบค่า P/E Ratio ของบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ กับบริษัทจดทะเบียนที่ทำธุรกิจประเภท เดียวกัน โดย FA มีหน้าที่ประเมิน หาค่าเฉลี่ย P/E เมื่อเทียบเคียงกับบริษัทจดทะเบียน ในอุตสาหกรรมเดียวกัน หลังจากนั้นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ จะประเมินต่อว่าราคาเสนอขายควรจะอยู่ที่เท่าไร ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้มีการระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน (Filing)
ทั้งนี้ ราคาซื้อขายในตลาดรองขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ต้องทำความเข้าใจใหม่ว่า ราคาหุ้น IPO ที่ต่ำจอง ไม่ได้เป็นผลมาจากการตั้งราคาเสนอขายแพงเสมอไป การที่หุ้นราคาตก หลังเข้าซื้อขายในตลาด จะต้องพิจารณาปัจจัยประกอบอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การกระจายหุ้นเป็นอย่างไร สัดส่วนผู้ถือหุ้นระหว่างนักลงทุนสถาบัน เมื่อเทียบกับรายย่อยเป็นเท่าไร พฤติกรรมการซื้อขายในวันแรก โดยเฉพาะพฤติกรรมการซื้อขายของรายย่อย ที่มีความอ่อนไหวต่อข่าวร้าย และการเปลี่ยนแปลงของราคา มากกว่านักลงทุนสถาบัน ซึ่งจะมีการใช้ financial model วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้น เป็นสาเหตุว่าทำไมนักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่จึงเน้นซื้อหุ้น IPO เพื่อหวังเก็งกำไรในช่วงข้ามคืน
นอกจากนี้ ยังขึ้นอยู่กับจังหวะการเข้าซื้อขายในตลาด หากหุ้นเข้าซื้อขายในช่วงที่ sentiment ตลาดดี วอลลุ่มเยอะ โดยมูลค่าเสนอขายวันแรกสูงกว่ามูลค่าเสนอขายทั้งหมด ราคาเปิดวันแรกก็มีโอกาสเหนือจอง เช่น ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 หุ้นที่ทยอยเข้าซื้อขาย ได้อานิสงส์จาก sentiment ตลาดที่ปรับดีขึ้นจากช่วงครึ่งแรกของปี
โดยจะเห็นได้จากในเดือนสิงหาคม หุ้น IPO มีอัตราการหมุนเวียนการซื้อขาย (Turnover) สูงถึง 4-5 เท่า สะท้อนว่าตลาดมีความเชื่อมั่นสูง เมื่อเทียบกับหุ้นที่เข้าซื้อขายในเดือนพฤศจิกายนซึ่งอัตรา Turnover อยู่ที่ 1 เท่า เท่านั้น ทำให้มีแรงขายมากกว่าแรงซื้อ เนื่องจากนักลงทุนไม่มีกำลังซื้อหรือไม่อยากเข้าซื้อในช่วงนั้น
อย่างไรก็ตาม การแสดงจุดยืนของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเชื่อมั่นในเกณฑ์กำหนดราคาเสนอขาย IPO สวนทางกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ที่มองว่า หุ้น IPO ส่วนใหญ่ที่ต่ำจอง เป็นผลมาจากการตั้งราคาที่แพงเกินไป
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ FETCO ให้ความเห็นว่า ปัญหาหุ้น IPO ที่หลายตัวเข้ามาซื้อขายแล้วราคาปรับลดลงต่ำกว่าราคาเสนอขาย จริงๆ แล้วหัวใจสำคัญคือเรื่องของการตั้งราคา ซึ่งหากตั้งสูงเกินไปจะทำร้ายนักลงทุนที่จองซื้อ จึงจะมีการทบทวน และหารือในประเด็นดังกล่าวร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์แต่ละแห่ง โดยเฉพาะที่ปรึกษาทางการเงิน (FA)
ตลท.ส่งไม้ต่อคลังพิจารณา TISA ฟื้นชีวิตตลาดหุ้น
สำหรับความคืบหน้ามาตรการ TISA หรือ Thai Individual Saving Account ซึ่งเป็นบัญชีเงินออมเพื่อการลงทุนหุ้น ซึ่งคาดว่าจะช่วยฟื้นสภาพคล่อง ดึงดูดเม็ดเงินใหม่ๆ ให้กับตลาดหุ้นไทย ‘อำนวย จิรมหาโภคา’ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์ 1 และดูแลสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า เบื้องต้น ตลท.ทำข้อเสนอไปยังกระทรวงการคลังแล้ว แต่กรอบเวลาอนุมัติมาตรการ ขึ้นกับกระบวนการพิจารณาต่อจากนี้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อ
ทั้งนี้ การเกิดขึ้นของ TISA เป็นจุดเริ่มต้นของมาตรการเพิ่มเสน่ห์ตลาดทุน ซึ่งในอนาคต จะมีมาตรการอื่นๆ ตามมา
TISA มีต้นแบบมาจาก Nippon Individual Savings Account (NISA) ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ประชาชนให้ผลตอบรับดีมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างนิสัยการออมและลงทุนให้กับคนญี่ปุ่น กำหนดให้สามารถนำวงเงินซื้อขายหุ้น มาลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งกำไรที่เกิดขึ้นจากการลงทุน (Capital gain) จะได้รับการยกเว้นภาษี ตามกรอบเวลาที่กำหนด
สำหรับจุดเด่นของ TISA จะเน้นไปที่การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ในรูปแบบของการยกเว้น ภาษีเงินปันผล (Dividend Withholding Tax) จากการลงทุนหุ้นรายตัว
“สำหรับรายย่อยบ้านเรา กำไรจากการซื้อขายหุ้น ไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว แต่เสียภาษีปันผล จากหุ้น ซึ่งวงเงินลดหย่อนภาษีได้เท่าไร ขึ้นอยู่กับรัฐบาล ความน่าสนใจของ TISA คือ Incentive เอาหัวใจของนักลงทุนมาจับ เพื่อออกแบบแพคเก็จสิทธิประโยชน์ ให้โดนใจรายย่อย”
โดยอำนวย ให้ความเห็นว่า มาตรการ TISA จะสามารถฟื้นสภาพคล่อง ในตลาดหุ้นไทยได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการให้สิทธิวงเงินลดหย่อนของรัฐบาล เช่น ยกเว้นภาษีปันผลจากหุ้น 10% เป็นเวลา 5 ปี ก็ทำให้เงินเย็นที่รายย่อยนำมาลงทุนหุ้นรายตัว ไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งจะดึงดูดเม็ดเงินให้ไหลเข้ามา แต่หากรัฐบาล มีการจำกัดวงเงิน หรือจำกัดผู้ใช้สิทธิ มาตรการดังกล่าวก็จะไม่ดึงดูดในสายตานักลงทุนรายย่อยเท่าไร


