วันนี้ (20 ตุลาคม) พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย แถลงข่าวให้ความเห็นถึงกรณี ศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ย้ายสังกัดพรรคการเมืองใหม่ ว่าตนและศรัณย์วุฒิได้พบเจอกันอยู่เป็นประจำ ซึ่งตนเชื่อว่าการออกจากพรรคเพื่อไทยของ ศรัณย์วุฒิไม่มีเรื่องกล้วยเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน เพราะศรัณย์วุฒิยืนยันมาโดยตลอดว่าจะย้ายไปอยู่ฝั่งประชาธิปไตยเท่านั้น
ตนทราบว่ามี 3 พรรคการเมืองที่อยู่ในตัวเลือกของศรัณย์วุฒิ คือ พรรคพลังธรรมใหม่ ที่มี นพ.ระวี มาศฉมาดล เป็นหัวหน้าพรรค, พรรคพลังปวงชนไทย ที่มี นิคม บุญวิเศษ เป็นหัวหน้าพรรค และพรรคเสรีรวมไทยที่ตนเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งถ้าหากคำพูดของศรัณย์วุฒิไม่เปลี่ยนแปลง เชื่อว่าศรัณย์วุฒิจะเข้ามาขอพบตนอย่างแน่นอน เนื่องจากหากดูในรายละเอียดของพรรคพลังธรรมใหม่แล้ว คะแนนกับความเป็นไปได้ในการสู้ศึกเลือกตั้งคงยากกว่าพรรคเสรีรวมไทยที่มีคะแนนจากประชาชนกว่า 8 แสนเสียงเลือกเข้ามา พร้อมบอกว่าก่อนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาจะเกิดขึ้น นพ.ระวี ยังเคยขอตนเข้ามาอยู่พรรคเสรีรวมไทยด้วย แต่ตนบอกไปว่ามาอยู่ได้ แต่ไม่มีปัจจัยให้ สุดท้ายเลยแยกไปตั้งพรรคเอง ส่วน ศรัณย์วุฒิ สุดท้ายจะย้ายไปอยู่กับพรรคการเมืองไหนก็คงอยู่ที่เขาจะตัดสินใจ แต่พรรคเสรีรวมไทยยินดีต้อนรับ
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ระบุว่า ตนเป็นมิตรกับทุกคน ไม่ว่าจะฝ่ายประชาธิปไตยหรือไม่ เชื่อว่าหากทุกคนมาร่วมกันทำงานแบบไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย จะสามารถนำประเทศเจริญรุ่งเรืองได้ แต่ตนจะไม่เป็นมิตรกับบุคคลที่เข้ามาทำงานแบบไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งในที่นี้คือกลุ่ม 3 ป. ฉะนั้นใครไม่สบายใจ ย้ายมาอยู่กับพรรคเสรีรวมไทยได้ ยกเว้นเผด็จการ มาอยู่กับเราทำงานด้วยกันภายใต้อุดมการณ์เดียวกัน แต่แค่ไม่มีกล้วยแจกให้
ขณะเดียวกัน พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ยังกล่าวถึงแนวโน้มว่า พรรคเล็กจะร่วมจับมือกันเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งครั้งต่อไป ตนมองว่าเป็นเรื่องที่แต่ละพรรคต้องมาพูดคุยกัน ซึ่งรวมถึงพรรคการเมืองที่กำลังตั้งขึ้นมาใหม่ด้วย สำหรับพรรคเสรีรวมไทยที่จำนวนสมาชิกพรรคเป็นรองเพียงแค่พรรคประชาธิปัตย์ที่ก่อตั้งมาแล้ว 50 กว่าปีเท่านั้น ถ้าหากพรรคไหนยังไม่พร้อม ก็ขอให้มองพรรคเสรีรวมไทยในฐานะพรรคที่มีความพร้อม และผู้นำพรรคอย่างตนที่รับราชการมา 40 กว่าปี ปกครองตำรวจมา 2 แสนกว่าคน ก็สามารถสร้างความสงบเรียบร้อยได้ ดังนั้นการดูแล ส.ส. ในพรรคไม่กี่คนย่อมไม่เป็นปัญหา เห็นได้จากการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาของเหล่า ส.ส. ว่าไม่มีการนอกลู่นอกทางด้วยการโหวตสวนมติพรรคแต่อย่างใด เพราะตนปกครองคนด้วยความยุติธรรม จะเข้ามาใหม่หรือเก่าไม่สำคัญ