วานนี้ (18 พฤษภาคม) พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ให้สัมภาษณ์ในรายการ THE STANDARD NOW ดำเนินรายการโดย อ๊อฟ-ชัยนนท์ หาญคีรีรัตน์ ถึงประเด็นการพูดคุยร่วมรัฐบาลว่า บรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่นและหารือกันด้วยฉันมิตร ซึ่งพรรคเสรีรวมไทยคำนึงถึงระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และประชาชนอยู่แล้ว ฉะนั้นขอให้รอการแถลงข้อตกลงร่วม หรือ MOU ของทั้ง 8 พรรคการเมืองในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์พูดถึงเรื่อง MOU ว่าสิ่งที่จะต้องทำคือการสนับสนุน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลให้เป็นนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาล ส่วนเรื่องนโยบายที่อาจอยู่นอกเหนือจาก MOU ก็ไม่มีผลอะไรมาก อย่างไรต้องมีการหารือข้อสรุปอีกครั้งกันอยู่แล้ว
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ย้ำว่าตนเองมีความคิดที่จะช่วยกันหาเสียงเพิ่มทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เพื่อเพิ่มโอกาสให้ได้รัฐบาลใหม่ที่มีเสียงทั้ง 2 สภารวมกันเกิน 376 เสียง โดย ส.ส. จะต้องคุยกันภายหลัง ส่วน ส.ว. ก็มีการพูดคุยเช่นกัน
ซึ่งวานนี้ระหว่างการแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชน ก็ได้ ส.ว. ที่รับปากแล้ว 1 คน ซึ่งได้ให้ชื่อและเบอร์โทรศัพท์กับพิธาเพื่อโทรไปขอบคุณแล้ว อย่างไรก็ตาม ก็มีเป้าหมายที่จะเร่งพูดคุยเพิ่ม เช่น ตำรวจ ทหาร นักธุรกิจ หรือกลุ่มคนที่เรียนตามสถาบันต่างๆ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทหรือคนที่รู้จักกันดีของตนเอง
ขณะที่ประเด็นของ ส.ว. ที่แสดงความกังวลต่อพรรคก้าวไกลในเรื่องมาตรา 112 พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ระบุว่า ไม่ควรนำมาอ้าง เพราะไม่ใช่เวลาที่จะนำเรื่องนี้มาพูด สิ่งที่ควรสนใจที่สุดคือการสนับสนุนพรรคที่ได้คะแนนเสียงข้างมากหรือพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาลไปก่อน
ทั้งนี้ หากมีการจัดตั้งรัฐบาลและบริหารประเทศ แล้วพรรคก้าวไกลทำอะไรที่ไม่เหมาะสม ตนเองก็จะไม่ร่วมด้วย ส่วนเรื่องมาตรา 112 ตนเองก็จะดูท่าทีและเจตนารมณ์ของพรรคก้าวไกลว่ามีอะไรเลยเถิดหรือไม่
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ยังเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์จะมาร่วมรัฐบาล เพราะคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเอง สามารถกลับคำพูดได้เสมอ ซึ่งดูได้จากการเลือกตั้งปี 2562 ที่ตอนแรกพรรคประชาธิปัตย์ยังต่อต้านกับระบอบเผด็จการ แต่สุดท้ายกลับเข้าร่วมรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ส่วนพรรคภูมิใจไทย หากมองท่าทีของพรรคก้าวไกลคงเป็นไปได้ยากที่จะให้เข้าร่วมรัฐบาล
ด้านประเด็นที่จะจัดการเด็ดขาดกับ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์เผยว่า ไม่ใช่เสียงเรียกร้องจากตนเอง แต่เป็นของประชาชนที่ไม่ต้องการพรรครวมไทยสร้างชาติ หากมีอำนาจหน้าที่ได้ทำก็สามารถทำได้ ซึ่งตนเองเคยทำมาแล้วแต่ไม่ผ่านมติเพราะต้องใช้ ส.ส. ลงชื่อ
ทั้งนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ได้ยกตัวอย่าง ‘กรณีถวายสัตย์ฯ ไม่ครบ’ ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่มีการวินิจฉัย แต่เมื่อนำเรื่องเข้าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กลับไม่ดำเนินคดี หรือเรื่องเรือดำน้ำที่ไม่แน่ใจว่าซื้อมาได้อย่างไร
ส่วนกรณีของศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ที่จะร้องเรียนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถึงการพูดคุยหารือของ 6 พรรคการเมือง ได้แก่ พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ และพรรคเป็นธรรม เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา แล้วมีสมาชิกพรรคและตัวแทนคนอื่นๆ เช่น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตร แสงกนกกุล และพรรณิการ์ วานิช 3 ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล เป็นต้น ว่าอาจเข้าข่ายไปครอบงำ ชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมือง หรือพรรคการเมืองปล่อยให้บุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคมาครอบงำ ชี้นำได้ อันอาจเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 28 และ 29 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (พ.ร.ป.พรรคการเมือง) พ.ศ. 2560 เป็นเหตุให้ กกต. สามารถเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองทั้ง 6 พรรคที่ร่วมหารือกันตั้งรัฐบาลได้ ตาม มาตรา 92(3) ของกฎหมายข้างต้น
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ระบุว่า ก่อนที่จะร้องเรียน ควรศึกษาข้อเท็จจริงให้ดีเสียก่อน โดยจุดประสงค์หลักของการพูดคุยคือการแสดงตนเพื่อสนับสนุนพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีของทั้ง 6 พรรค ซึ่งธนาธร ปิยบุตร และพรรณิการ์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรทั้งสิ้น ส่วนการที่ทั้ง 3 ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกลมารับประทานอาหารร่วมกัน ก็เป็นเพียงแค่การเข้าร่วมสังสรรค์กันเฉยๆ
ขณะที่ผลคะแนนเลือกตั้งครั้งล่าสุดของพรรคเสรีรวมไทย พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ยอมรับว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่ประเมิน เนื่องจากคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ใช้ระบบบัตร 2 ใบ (ส.ส. แบ่งเขต กับบัญชีรายชื่อ) สามารถแบ่งคะแนนหรือเทใจให้หลายๆ พรรคได้ง่ายกว่าครั้งที่แล้ว ซึ่งใช้ระบบบัตรใบเดียวและจำเป็นต้องเลือกพรรคใดพรรคหนึ่งไปเลย แต่สุดท้ายกลับผิดความคาดหมายไปทั้งหมด
ด้านตำแหน่งในรัฐบาลก้าวไกล พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์เผยว่าไม่ได้มีตำแหน่งใดเป็นพิเศษ เนื่องจากไม่มีเสียงที่จะเสนอหรือเรียกร้องมากนัก หากเทียบกับพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยที่มีเสียงจำนวนมาก
“ในหลายครั้งที่ผ่านมา พรรคการเมืองโดยส่วนมากคำนึงแต่โควตาที่นั่งและผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก และไม่สนใจว่าตำแหน่งนั้นจะตรงกับความรู้ ความสามารถบ้างหรือไม่ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในการแต่งตั้งรัฐบาลครั้งนี้คือการเลือกใช้คนให้ตรงและเหมาะสมกับงาน หรือ Put the right man on the right job” พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์กล่าวปิดท้าย