วันนี้ (16 มิถุนายน) ที่อาคารรัฐสภา นันทนา นันทวโรภาส สว. กล่าวถึงกรณีคดีฮั้ว สว. ที่ล่าสุดปรากฏข้อมูลคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวนกลาง ชุดที่ 26 มีมติออกหมายเพื่อเรียกตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับขบวนการล็อต 7 ประมาณ 20 คน ซึ่งระบุมีผู้นำพรรคการเมืองหนึ่ง 2 คน
นันทนาระบุว่า ได้ทราบตามที่มีข่าวนำเสนอ ไม่มีข้อมูลวงในใดๆ แต่อยากจะเรียนถึงผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รวมถึงคณะอนุฯ ที่ 26 ซึ่งดำเนินการเรื่องนี้อยู่ว่าต้องใช้ความกล้าหาญในการดำเนินการเรื่องนี้ เนื่องจากประชาชนรอดูอยู่ว่า การดำเนินการนี้จะไปถึงผู้บงการได้หรือไม่ และจะสามารถนำผู้ทุจริต เข้าสู่กระบวนการรับโทษได้หรือไม่
“ต้องกล้าหาญและขอให้กำลังใจบรรดาผู้ที่กำลังทำคดีนี้อยู่ว่าถ้าท่านทำได้สำเร็จนั่นก็คือคดีประวัติศาสตร์ เพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จากการที่ในบรรดา สว. ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเกินครึ่งสภา และมีผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นผู้บงการ เป็นผู้ที่มีอิทธิพล มีอำนาจมากมาย นี่คือประวัติศาสตร์ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” นันทนากล่าว
ดังนั้นถ้าหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องนี้สามารถดำเนินการจนถึงที่สุด เอาผู้ที่ทุจริตมาลงโทษได้ มองว่าประชาชนจะชื่นชม และเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยมีอยู่จริง
ส่วนการตั้งข้อสังเกตว่ารายชื่อที่ปรากฏเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองหนึ่ง มองว่ามีข้อมูลเชื่อมโยงจริงหรือเป็นการเพ่งเป้าทางการเมือง นันทนาเชื่อว่าวิญญูชนทราบได้ว่าความเชื่อนี้เชื่อมโยงตั้งแต่สี สัญลักษณ์ การกระทำ พฤติกรรม รวมถึงการลงมติต่างๆ ที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันหมด ซึ่งประชาชนทั่วไปคงทราบดีอยู่แล้ว การดำเนินการพวกนี้ เพียงแต่รอความกล้าหาญของผู้ที่ทำคดี ให้สามารถทำไปจนถึงสุดท้ายได้ และมีการนำเอาผู้ที่เกี่ยวข้องมาลงโทษได้
“อย่าทำให้ประชาชนผิดหวัง เพราะตอนนี้มีหลายคนบอกว่า หรือจะเป็นมวยล้มต้มคนดู คิดว่า เมื่อมาถึงตรงจุดนี้แล้ว ประชาชนคงไม่ยอมให้กระบวนการนี้สิ้นสุดลง โดยที่ไม่มีผู้รับโทษเลย ซึ่งจะเป็นบาดแผลใหญ่ ของกระบวนการยุติธรรมประเทศไทย” นันทนากล่าว
สำหรับกรณีที่ สว. เสียงข้างน้อย ที่เคยโหวตให้ชะลอวาระการเลือกบุคคลในองค์กรอิสระ เคยเปิดเผยว่าถูกอาฆาตมาดร้ายนั้น นันทนากล่าวว่า เราได้เห็นปรากฏการณ์ที่ทางกลุ่ม สว. เสียงข้างมาก พยายามดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการลงมติเห็นชอบผู้ไปดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระ แม้ถูกเสียงทัดทาน ทั้งจาก สว. เสียงข้างน้อย และประชาชนที่ดูอยู่ แต่ยังฝืนจะทำต่อไป
นันทนากล่าวต่อไปว่า เราก็ได้เห็นว่าผู้ที่เหมือนเป็น สว. เสียงข้างน้อย อาจจะได้รับผลกระทบในเชิงการลงมติเรื่องใหญ่ แม้แต่การคัดเลือก สว. เข้าไปในกรรมาธิการชุดต่างๆ ก็ดูเหมือนว่าจะได้รับผลกระทบด้วย เช่น หากใครออกมาขัดขวางไม่ให้มีการเห็นชอบบรรดาผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ก็ได้รับผลกระทบ
“ดิฉันได้รับผลกระทบมาตั้งแต่ต้นแล้ว ตั้งแต่เข้ามาเป็น สว. ได้รับเลือกให้เป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ซึ่งหลังจากที่ดิฉันออกมาเปิดเผยว่ามีการกลับมติ และมตินั้นไปสอดคล้องกับพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง หลังจากนั้นดิฉันก็ไม่ได้รับเลือกให้เป็นกรรมาธิการพิจารณากฎหมายฉบับใดๆ เลย อยู่มาประมาณ 10 เดือนได้เป็นฉบับเดียวและเป็นฉบับสุดท้ายที่เขาบรรจุชื่อดิฉันเข้าไป” นันทนากล่าว
นันทนาระบุว่า นั่นหมายความว่าตนเองได้รับผลกระทบตั้งแต่ต้นแล้ว คือการกีดกันไม่ให้เข้าสู่กระบวนการใดๆ แต่ยังทำหน้าที่เพื่อออกมาสื่อสารและบอกกับประชาชนว่าเกิดอะไรขึ้นในวุฒิสภา แต่ก็ให้กำลังใจ สว. เสียงข้างน้อย ที่ได้รับผลกระทบตรงนี้ว่าต้องอดทนจนกว่ากระบวนการตรวจสอบที่มาของ สว. เสียงข้างมาก สิ้นสุด ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในวุฒิสภาได้
