วันนี้ (22 กันยายน) พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) กล่าวถึงการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของพรรคการเมืองเกี่ยวกับกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามที่มีข้อกังวลเกี่ยวกับเสียงเห็นชอบจาก สว. จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของทั้งหมด
พิสิษฐ์ระบุว่า ในความเห็นส่วนตัว หากมีการเสนอร่างฯ จะต้องมีการมาพิจารณาว่าแต่ละร่างมีเนื้อหาสาระอย่างไร แก้ไขอะไรบ้าง ส่วนตัวเห็นว่า หากการแก้ไม่แตะหมวด1-2 พร้อมที่จะให้ความเห็น ขณะนี้ สว. ยังไม่ได้มีการพูดคุยหารือกันในเรื่องเกี่ยวกับร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เบื้องต้นจะมีการประชุมวิป 3 ฝ่าย เพื่อกำหนดวันแถลงนโยบายรัฐบาล
พร้อมชี้ว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะโมเดลสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่ไม่สามารถมาจากการเลือกตั้งทางตรงได้ แต่ขณะนี้ ยังไม่ได้เห็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคการเมืองว่ามีเนื้อหาสาระอย่างไร จึงยังไม่สามารถให้ความเห็นได้ชัดเจน ซึ่งหากวุฒิสภาแต่ละคนได้เห็นร่างแก้ไขเพิ่มเติมอย่างชัดเจนอาจจะมีมุมมองเช่นเดียวกัน
ขณะที่โมเดล สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งประชาชนทางอ้อม สามารถทำได้ ตามที่หลายภาคส่วนได้มีการเสนอโมเดลออกมา โดยไม่ได้เลือกตั้งโดยตรง เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหาหรือขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
พิสิษฐ์ยังกล่าวว่า ผู้ที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีเพียงนักการเมือง ซึ่ง ส่วนตัวไม่มั่นใจว่าประชาชนต้องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
“เพราะสิ่งที่เห็นคือนักการเมืองกลัวรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กลัวอยู่ 2 คำ ‘สุจริตเป็นที่ประจักษ์’ กับ ‘จริยธรรมอย่างร้ายแรง’ เป็น 2 คำ ที่นักการเมืองกลัวมาก ดังนั้น จึงอยากแก้ ถามว่าประชาชนจะสนใจหรือไม่ สุจริตเป็นที่ประจักษ์ หรือจริยธรรมอย่างร้ายแรง พบว่าไม่กระทบกระเทือน” พิสิษฐ์กล่าว
พิสิษฐ์กล่าวถึงข้อสังเกตความสัมพันธ์กับ สว. และบ้านใหญ่ทางการเมืองบุรีรัมย์ จนได้ชื่อว่าเป็น สว. สีน้ำเงิน ว่า เป็นความคิดเห็นของบุคคลอื่นที่มองกัน แต่ ยืนยันว่า สว. ไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง และตนเองไม่ได้รู้จัก อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือนักการเมืองคนอื่นๆ เป็นการส่วนตัว แต่การพูดคุยกันทุกอย่างอยู่บนหลักการ คือพรรคการเมืองเสนอร่างมา หากวุฒิสภาเห็นชอบด้วย ก็พร้อมที่จะยกมือให้ ยืนยันไม่มีการล็อบบี้
เล็งหารือเคาะวันแถลงนโยบาย ย้ำฮั้ว สว.-เขากระโดง ไม่ใช่หน้าที่รัฐบาล
สำหรับการแถลงนโยบายของรัฐบาลนั้น พิสิษฐ์ระบุว่า วันอังคาร (23 กันยายน) หรือพุธนี้ (24 กันยายน) จะมีการหารือกันก่อน โดยเป็นการประชุมวิปทั้ง 3 ฝ่าย คือฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และวุฒิสภา เพื่อกำหนดกรอบการประชุม และกำหนดเวลาของแต่ละฝ่าย ส่วนประเด็นในการอภิปรายนั้น หลักๆ คือเรื่องการแถลงนโยบายที่รัฐบาลอนุทินได้เสนอ และประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งนี่คือ 2 เรื่องหลัก ที่วุฒิสภาจะอภิปราย
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการกำหนดคนที่จะมาอภิปราย ต้องรอดูโควตาว่า สส. และ สว. จะได้ผู้อภิปรายเท่าไหร่ ทั้งนี้ คาดว่าการแถลงนโยบายน่าจะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์หน้า เพราะ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ได้บอกแล้วว่าวันที่ 25 กันยายนนี้ไม่ทัน และอีกอย่าง ยังไม่เคยคุยกันในวิปทั้ง 3 ฝ่าย เพราะฉะนั้น อาจจะเป็นช่วง 29-30 กันยายน หรือ 30 กันยายน ถึง 1 ตุลาคม โดยคาดว่าการอภิปรายจะจบภายใน 2 วัน เนื่องจากวันที่ 29-30 กันยายน ตรงกับวันประชุมวุฒิสภาอยู่แล้ว ส่วนที่ 1-2 ตุลาคม ตรงกับวันประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งอาจจะใช้ฝั่งละ 1 วัน
ส่วนวุฒิสภาคาดหวังกับรัฐบาลใหม่ที่จะอยู่เพียงแค่ 4 เดือนอย่างไรบ้างนั้น พิสิษฐ์กล่าวว่า 4 เดือนน้อยมากแต่ก็ทนมา 2 ปีแล้ว ก็หวังว่า 4 เดือน รัฐบาลจะตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ไปกลั่นแกล้ง แต่เรื่องจะกำจัดฝ่ายตรงข้าม คงไม่ต้องบอกว่าเรื่องอะไรบ้าง และอยากให้เน้นเรื่องปากท้องของประชาชนเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นโครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ อยากให้รัฐบาลมุ่งเน้นเป็นหลัก 4 เดือนนี้ไม่เยอะเลย แต่ก็อยากให้เห็นผล เพราะใกล้จะปีใหม่แล้ว
ขณะที่กระแสวิจารณ์รัฐบาลชุดนี้ว่าอาจไปแทรกแซงคดีเขากระโดง และคดีฮั้ว สว. นั้น พิสิษฐ์กล่าวว่า คดีทั้ง 2 ดังกล่าว ไม่ใช่หน้าที่หลักของรัฐบาล หน้าที่หลักของรัฐบาลคือเอาประชาชนเป็นหลัก ให้เกิดความอยู่ดีกินดี รัฐบาลควรสนใจเรื่องทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น วันนี้แย่มากๆ ภาคการท่องเที่ยวก็ตกลง จึงอยากให้รัฐบาลเน้นตรงนี้ดีกว่า เรื่องคดีฮั้ว สว. และเขากระโดง มีคนทำหน้าที่อยู่แล้ว ไม่ใช่หน้าที่รัฐบาล
“เรื่องแทรกแซงคดี รัฐบาลก่อนหน้านี้ก็แทรกแซงอยู่แล้ว ทุกวันนี้สิ่งที่ทำอยู่ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาล เช่น การเอากรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ไปแทรกแซง ทั้งๆ ที่ไม่ไปดูความมั่นคงเป็นหลัก
อย่างนี้ไม่เรียกว่าแทรกแซงหรือ แทรกแซงชัดเจน เรื่องฮั้ว สว. ก็เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่กลับเอาหน่วยงานในกำกับไปแทรกแซงการทำงาน นี่เรียกว่าแทรกแซงเต็มๆ” พิสิษฐ์กล่าว