ความคืบหน้ากรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจน้ำ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สนธิกำลังติดตามจับกุมเรือน้ำมันของกลางที่หายไปจากท่าเทียบเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จำนวน 3 ลำ ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน จนกระทั่งตามจับได้วันที่ 16 มิถุนายน
ล่าสุดวานนี้ (17 มิถุนายน) เวลา 19.30 น. เจ้าหน้าที่สามารถนำเรือของกลางเข้าเทียบท่าที่จังหวัดสงขลาได้สำเร็จ
โดยเรือลำแรกคือ เรือกำไรเงิน มีลูกเรือประจำการ 3 คน สภาพเรือถูกเปลี่ยนแปลงจากเดิม พื้นเรือสีแดงกลายเป็นสีเขียว และโดยรอบถูกสีเทาทาทับสีแดงโดยเฉพาะบริเวณเก๋งเรือ ภายในเรือเจ้าหน้าที่พบแท็งก์บรรจุน้ำมันมีร่องรอยถูกเปิดออก แต่ยังไม่มีข้อมูลว่าเหลือน้ำมันปริมาณเท่าใด นอกจากนี้ยังพบสุนัขสีน้ำตาลและดำเพศผู้ 2 ตัวซึ่งเป็นสุนัขที่ลูกเรือเลี้ยง
ส่วนเรือลำที่ 2 ที่เทียบท่าชื่อ เจ.พี. มีลูกเรือประจำการ 4 คน สภาพเรือมีร่องรอยการถูกเปิดแท็งก์น้ำมันเช่นเดียวกับเรือลำแรก แต่สภาพโดยรอบไม่ถูกดัดแปลง
ลำสุดท้ายชื่อ ดาวรุ่ง มีลูกเรือประจำการ 1 คน เรือไม่สามารถใช้การได้ เจ้าหน้าที่ต้องใช้เรือลากจูงเข้าเทียบท่า
ทั้งนี้ มีรายงานว่าก่อนเรือทั้ง 3 ลำถูกนำไปจากการดูแลของตำรวจ เรือ เจ.พี. บรรจุน้ำมันเถื่อนประมาณ 80,000 ลิตร พร้อมลูกเรือจำนวน 7 คน เรือกำไรเงินบรรจุน้ำมันเถื่อนประมาณ 150,000 ลิตร พร้อมลูกเรือจำนวน 6 คน และเรือดาวรุ่งบรรจุน้ำมันเถื่อนประมาณ 100,000 ลิตร
หลังเจ้าหน้าที่นำเรือทั้ง 3 ลำเทียบท่า พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามเข้าแจ้งข้อกล่าวหากับกลุ่มผู้ต้องหา (ลูกเรือ) ในฐานความผิดลักทรัพย์ฯ นอกจากนี้มีเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต นักปฏิบัติการใต้น้ำ กองบังคับการตำรวจน้ำชุดมัจฉานุ และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบลายนิ้วมือแฝง ดีเอ็นเอ น้ำมันในแท็งก์ คาดว่าจะต้องใช้เวลาพิสูจน์ทราบระยะหนึ่ง
ด้าน พล.ต.ต. พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผู้บังคับการตำรวจน้ำ เปิดเผยกับสื่อมวลชนหลังจากที่เรือทั้ง 3 ลำเทียบท่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยระบุว่า เรือกำไรเงินมีความพยายามดัดแปลงเห็นได้ชัดเจนมากที่สุด เนื่องจากยังทาสีไม่เสร็จทั้งลำ เชื่อว่าต้องการเร่งทำเพื่อให้นำกลับมาใช้งานได้ และหากกลุ่มผู้ต้องหาดัดแปลงทาสีเรือทั้งลำได้สำเร็จ ก็เชื่อว่าจะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงจนทำให้ตำรวจอาจตามไม่เจอ
ซึ่งหลังจากนี้จะให้เพียงตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานชุดสืบสวนของกองบังคับการปราบปราม และพนักงานสอบสวน ขึ้นไปตรวจสอบบนเรือเท่านั้น เนื่องจากต้องมีการตรวจพิสูจน์เรื่องของดีเอ็นเอที่อยู่บนเรือ ก่อนจะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปสอบปากคำ
ขณะที่ พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ระบุว่า เรือของกลางแต่ละลำเหลือน้ำมันในเรือเพียงเล็กน้อยเพียงพอสำหรับแค่การขับเคลื่อนเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถยืนยันเป็นจำนวนว่าตัวเลขอยู่เท่าใด โดยขนาดความลึกของถังอยู่ที่ 3.8 เมตร แต่เหลือน้ำมันเพียง 1 เมตร
จากนี้ขอเวลาให้ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน โดยเรือทั้ง 3 ลำมีมูลค่ารวมกว่า 30 ล้านบาท ส่วนตัวเชื่อว่าน้ำมันของกลางที่อยู่ในเรือไม่ใช่เป้าหมายสำคัญของกลุ่มผู้ต้องหา เพราะสามารถขายได้เพียงลิตรละ 10 บาท มูลค่ารวม 4-5 ล้านบาทเท่านั้น
แต่ทั้งนี้น้ำมันที่สูญหายไปตำรวจจำเป็นต้องดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ และเรือทั้ง 3 ลำจะถูกอายัดเป็นของกลางดังเดิม ซึ่งจนขณะนี้ยังไม่มีผู้เสียหายมาแสดงตัวยืนยันเป็นเจ้าของเรือ
พล.ต.ต. จรูญเกียรติกล่าวต่อว่า เป็นที่แน่ชัดว่าเหตุการณ์นี้มีเจ้าหน้าที่ที่บกพร่องต่อหน้าที่ ขณะนี้สั่งการคณะกรรมการตรวจสอบให้มีความชัดเจนในเรื่องของการสอบสวนภายใน 7 วัน ซึ่งต้องมาพิจารณาว่าการบกพร่องต่อหน้าที่นั้น ทำให้เกิดความเสียหายมากน้อยเพียงใด