ข้อมูลจาก Watchcharts.com ระบุว่า ช่วง 1 ปีที่ผ่านมาราคานาฬิกาหรูในตลาดมือสองโดยรวมเพิ่มขึ้น 43.6% ดัชนีดังกล่าวคำนวณจากราคาเฉลี่ยของนาฬิกาหรูที่ได้รับความนิยมจำนวน 30 รุ่น อาทิ Audemars Piguet 26331ST, Patek Philippe 5167A, Rolex 116500 เป็นต้น
Ricardo Guadalupe ซีอีโอของ Hublot ให้สัมภาษณ์ผ่าน Bloomberg เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า แบรนด์ Hublot อาจจะต้องปรับราคาขายนาฬิกาขึ้นประมาณ 10-15% เนื่องจากปัญหาในเรื่องของซัพพลายเออร์ที่ปรับราคาวัตถุดิบขึ้นเกือบหมด ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ไทเทเนียม รวมถึงเพชร
1 ปีที่ผ่านมา ราคานาฬิกาหรูยอดนิยมในตลาดมือสองปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 43.6% โดย Audemars Piguet 26331ST เป็นรุ่นที่ปรับขึ้นมากสุดถึง 60%
สรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า Patek เพิ่งปรับราคาขายสำหรับนาฬิกามือหนึ่งทั่วโลกขึ้นราว 10-15% ขณะที่ราคาของนาฬิกามือสองนับแต่ปี 2019 จนถึงปัจจุบันก็ปรับขึ้นมา 50-150% ไม่เพียงแค่นาฬิกาเท่านั้น ราคาของสินค้าหรูอื่นๆ อาทิ รถยนต์ ก็ปรับขึ้นเช่นกัน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาของสินค้าหรูปรับเพิ่มขึ้นมาจาก 2 ส่วน คือ 1. เงินเฟ้อ และ 2. ราคาคริปโตเคอร์เรนซี
ในส่วนของเงินเฟ้อ อย่างในสหรัฐฯ ที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมาเป็น 7% สูงสุดในรอบ 40-50 ปี เทียบกับช่วงก่อนโควิดซึ่งอยู่ที่เพียง 1.5-2% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในจีนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยตัวเลข PPI ของจีนขยับขึ้นมาเป็น 10-12%
“จีนเป็นประเทศที่ผลิตเพื่อส่งออก เมื่อเงินเฟ้อในจีนสูงขึ้น ประเทศที่นำเข้าสินค้าจากจีนก็นำเข้าเงินเฟ้อไปด้วยเช่นกัน โดยเงินเฟ้อที่ปรับขึ้นมาในครั้งนี้มาจากทั้งส่วนของ Demand ที่เพิ่มขึ้น และ Supply ที่ขาดหายไป ทำให้เราเห็นสินค้าโภคภัณฑ์ปรับขึ้นทั่วโลก”
นอกจากนี้ ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นยังมีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ราคาสินค้าต่างๆ เพิ่มขึ้น อย่างในสหรัฐฯ มีการคาดการณ์กันว่าตัวเลขค่าแรงที่จะประกาศในวันศุกร์นี้ (4 กุมภาพันธ์) น่าจะเพิ่มขึ้น 5.2% เทียบกับเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้น 4.7% ขณะที่เงินเฟ้อก็น่าจะขยับขึ้นไปเป็น 7.3%
สำหรับปัจจัยเรื่องของราคาคริปโตเคอร์เรนซีที่เพิ่มขึ้น เกิดจากแรงเก็งกำไรที่เข้ามาจากคนรุ่นใหม่ทั่วโลก ส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่ตกงานจากภาคบริการทั่วโลก ซึ่งในบางประเทศยังได้รับเงินชดเชยจากภาครัฐ และนำมาเก็งกำไรในตลาดคริปโต รวมถึงการนำกำไรที่ได้มาเก็งกำไรในสินค้าหรูต่อจากนั้น
“คำถามที่น่าสนใจคือ หลังจากราคาสินค้าต่างๆ เพิ่มขึ้นมาแล้ว จะยังขึ้นต่อไปอีกหรือไม่ ส่วนตัวมองว่าปีนี้เป็นจังหวะของการขายทำกำไรมากกว่า ไม่ว่าจะด้วยเงินเฟ้อที่น่าจะพีคในปีนี้ หรือตลาดคริปโตที่ถล่มลงมา และอาจจะกลับไปทำ New High ได้ยาก”
เนื่องจากการทยอยดูดสภาพคล่องออกจากระบบของทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ ในปีนี้ และธนาคารกลางยุโรปในปีหน้า รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยตามมา ซึ่งลักษณะนี้สินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโตและหุ้นขนาดเล็กจะโดนเทขายก่อน
สรพลมองว่าเงินเฟ้อน่าจะถึงจุดพีคในไตรมาส 2 ปีนี้ และทำให้ราคาสินค้าหรูต่างๆ ถึงจุดพีคของรอบเช่นกัน
“หากจะดูว่าราคาสินค้าเหล่านี้จะพีคเมื่อไร ส่วนหนึ่งอาจจะดูได้จาก Real Yield ซึ่งตอนนี้เริ่มติดลบน้อยลง จากติดลบ 1% มาเหลือติดลบ 0.5-0.6% หาก Real Yield เป็นบวกเมื่อใด ราคาสินค้าหรูมือสองก็มีโอกาสจะร่วงลงมา แต่คงจะไม่ร่วงลงมาเท่ากับราคามือหนึ่ง และอีกมุมหนึ่งอาจจะดูราคาน้ำมัน ซึ่งมักจะเป็นตัวนำลงมาก่อน”
ด้าน วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการ บล.เคทีบีเอสที มองว่า ช่วงที่ผ่านมาราคาสินค้าหรูปรับขึ้นมาสูง ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา ไวน์ กระเป๋า ซึ่งเป็นผลจากทั้งเรื่องของ Supply Shortage และ Demand ที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งจากการที่ผู้คนมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นหลังการเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์ดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ Demand Supply เริ่มกลับเข้าสู่จุดสมดุล ราคาโดยธรรมชาติก็ควรจะปรับลง อย่างกรณีของ Demand ในช่วงที่ผ่านมาได้อานิสงส์จากสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นผ่านการอัดฉีดของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เมื่อ Fed เริ่มดึงสภาพคล่องกลับ ก็น่าจะกระทบต่อราคาที่ปรับขึ้นมาเช่นกัน
“ถามว่าราคาจะไปจากนี้ได้ไกลไหม ถ้าไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากโอมิครอน และเรื่องของ Fed ไม่มีอะไรที่ผิดไปจากที่คาดไว้ ก็เชื่อว่าราคาไม่น่าจะไปไหนได้ไกลแล้ว แต่ถามว่าจะลงแบบอย่างรวดเร็วไหม คิดว่าอาจจะเป็นลักษณะของการค่อยๆ ปรับลงมากกว่า”
อ้างอิง:
- Overall Market Price Index | WatchCharts
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-01-30/lvmh-s-hublot-to-raise-watch-prices-as-inflation-hits-luxury?sref=CVqPBMVg
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP