สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้เปิดโอกาสที่จะขยายการระงับภาษีนำเข้าสินค้าจีนออกไปนานกว่าสามเดือน หากจีน ‘ระงับ’ แผนควบคุมการส่งออกแร่หายากชุดใหม่ที่เข้มงวดกว่าเดิม
เมื่อกลางปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ และจีนได้ตกลงที่จะสงบศึกเป็นเวลา 90 วัน และได้มีการขยายเวลาสงบศึกต่อเนื่องอีก 90 วัน ซึ่งเส้นตายครั้งต่อไปจะสิ้นสุดในวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้
“มีความเป็นไปได้ที่เราขยายเวลาสงบศึกออกไปอีกครั้ง ถ้ามีการเจรจาเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่จะถึงนี้” เบสเซนต์กล่าวระหว่างการแถลงข่าวในกรุงวอชิงตัน
หลังจากที่ความสัมพันธ์แบบเฉพาะกาลได้ดำเนินมาหลายเดือน ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนได้ปะทุขึ้นอีกครั้งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ขยายข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี รวมถึงเสนอให้มีการจัดเก็บเรือจีนที่มีการเทียบท่าเรือสหรัฐฯ ซึ่งจีนตอบโต้ด้วยวิธีที่คล้ายคลึงกัน และยังคุมการส่งออกแร่หายาก (Rare Earth) รวมถึงแร่สำคัญอื่นๆ ให้เข้มงวดขึ้นอีกด้วย
นักเศรษฐศาสตร์ได้อธิบายถึงการเคลื่อนไหวล่าสุดของทั้งสองฝ่ายว่าเป็นความพยายามในการสร้างแต้มต่อ ก่อนการประชุมระหว่างผู้นำทั้งสองที่น่าจะมีขึ้นในเดือนนี้ นอกรอบการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (APEC) ที่เกาหลีใต้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะเกิดสงครามการค้าระหว่าง สหรัฐฯ และจีน สองประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของโลกหรือไม่ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตอบว่า “คุณอยู่ในสถานการณ์นั้นแล้ว” ทรัมป์กล่าวต่อว่า “หากไม่ตั้งกำแพงภาษี 100% เราอาจถูกมองว่าเป็นพวกไร้ความสามารถเอาได้”
หุ้นสหรัฐฯ ปิดตลาดเป็นบวกจากความเห็นของเบสเซนต์ ขณะที่ทรัมป์แสดงความเห็นหลังตลาดในนิวยอร์กปิดแล้ว ส่วนการซื้อขายช่วงเช้าของวันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคมในเอเชีย พบว่า สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับดัชนีราคาหุ้นเพิ่มขึ้นในตลาดเซี่ยงไฮ้และกรุงโตเกียว แต่ร่วงลงในตลาดฮ่องกง
เจมิสัน เกรเออร์ (Jamieson Greer) ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ไม่คิดว่าจีนจะสามารถคุมการส่งออกแร่หายากได้มากนัก เนื่องจากการค้าจะต้องหยุดชะงักลงอย่างมาก โดยกล่าวว่า “ขอบเขตและขนาดของการควบคุมมากเกินจะหยั่งถึง และไม่สามารถปฏิบัติได้จริง”
ขณะเดียวกัน เบสเซนต์ได้คาดการณ์ถึงการตอบสนองของพันธมิตรสหรัฐฯ หากจีนเริ่มเคลื่อนไหว โดยกล่าวในที่ประชุมซึ่งจัดโดย CNBC ว่า “เราจะมีการตอบสนองร่วมกันอย่างเต็มรูปแบบ เพราะพนักงานรัฐจีนไม่สามารถควบคุมห่วงโซ่อุปทาน หรือกระบวนการผลิตสำหรับส่วนที่เหลือของโลกได้”
พร้อมกับชี้ว่า ‘รัฐมนตรีคลังทั้งหมด‘ ได้อยู่ที่กรุงวอชิงตันเพื่อเข้าร่วม งานประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank) ในสัปดาห์นี้ “ซึ่งเราจะหารือกับพันธมิตรชาติยุโรป ออสเตรเลีย แคนาดา อินเดีย และประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ ในเอเชีย”
กฎระเบียบใหม่ของจีนที่ประกาศเมื่อสัปดาห์ก่อน ได้กำหนดให้บริษัทในต่างประเทศต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลจีน ก่อนที่จะส่งออกผลิตภัณฑ์ซึ่งประกอบด้วยแร่หายากที่มีต้นกำเนิดในจีน แม้จะมีปริมาณเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ทรัมป์ตอบโต้ด้วยการขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มเติมอีก 100% ภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน พร้อมขู่จะยกเลิกการประชุมนอกรอบที่วางไว้กับสี จิ้นผิง (Xi Jinping) ประธานาธิบดีจีน ไม่เพียงเท่านั้น ทรัมป์ยังขู่ว่าจะตัดการค้าน้ำมันปรุงอาหาร ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ (Bio-Fuel) อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เบสเซนต์ระบุว่า ทรัมป์ยังคงเดินหน้าพบปะกับสี จิ้นผิงที่เกาหลีใต้ตามเดิมในปลายเดือนนี้ และยังกล่าวอีกด้วยว่า เป็นโอกาสดีที่เบสเซนต์จะได้เดินทางไปเอเชียล่วงหน้า เพื่อพบปะกับ เหอ ลี่เฟิง (He Lifeng) รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลังจีน
เบสเซนต์คาดว่าจะมีการประกาศทางการค้าเกิดขึ้น ระหว่างการเดินทางเยือนเอเชียของทรัมป์ ซึ่งมีกำหนดเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ที่มาเลเซีย ก่อนไปญี่ปุ่น และเข้าร่วมการประชุม APEC ที่เกาหลีใต้
ไม่เพียงเท่านั้น เบสเซนต์ยังระบุอีกด้วยว่า สหรัฐฯ ใกล้บรรลุการเจรจาการค้ากับเกาหลีใต้แล้ว โดยการหารือครั้งล่าสุดอยู่ที่โครงการลงทุนขนาดใหญ่ ส่วนการเจรจากับแคนาดาก็กลับเข้าลู่เข้าทางอีกครั้ง เช่นเดียวกับอินเดียที่มีความคืบหน้ามากขึ้น
นอกจากนี้ เบสเซนต์ยังปัดตกทัศนะที่มองว่า รัฐบาลภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ต้องรีบแจ้นเจรจากับจีน เพราะตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังตกต่ำลงอย่างมาก โดยระบุว่า ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของชาติคือสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดการพูดคุยกับจีน
เบสเซนต์ยังปัดตกความกังวลต่อปัจจัยพื้นฐานของสกุลเงินดอลลาร์ หลังราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยระบุว่าเป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และยังชี้ว่า สกุลเงินยูโรควร ‘แข็งค่าขึ้น’ เมื่อนโยบายการคลังมีการขยายตัว ซึ่งปัจจุบันสกุลเงินยูโรยังไม่แข็งค่าเท่าที่ควรตามทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์
เบสเซนต์ยังวิจารณ์มากเป็นพิเศษถึง หลี่ เฉิงกัง (Li Chenggang) รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์จีน ผู้ซึ่งเคยวิจารณ์เบสเซนต์ว่า ‘ไม่สมประดี’ ในคราวเยือนสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พร้อมเตือนว่า จีนจะสร้างความปั่นป่วนต่อโลกหากสหรัฐฯ ยังมุ่งหน้าเก็บค่าเทียบเรือกับจีน
โดยเบสเซนต์ระบุว่าหลี่ เฉิงกัง ไม่ได้รับเชิญให้มาเยือนสหรัฐฯ และยังแสดงความหยามเกียรติด้วยภาษาที่ยั่วยุ
นอกจากนี้ เบสเซนต์ยังระบุว่า ไม่สามารถไว้ใจจีนได้ หลังจากที่เคยบอกว่า การส่งออกแร่หายากที่ชะลอตัวลงเป็นผลกระทบจากช่วงหยุดยาวของจีน ซึ่งเสี่ยงนำไปสู่การค้าโลกที่แยกตัว (Decouple) หากจีนยังคงทำตัวไม่น่าเชื่อถือต่อไป
ภาพ: Andrew Harnik/Getty Images
อ้างอิง: