ราคาหุ้นของ บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 66.50 บาท เพิ่มขึ้น 60% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 90% จากราคา IPO ที่ 35 บาท โดยบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อเดือนตุลาคม 2563
ทั้งนี้ SCGP รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 2.98 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 2.26 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากปีก่อน ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทในงวด 6 เดือนที่ผ่านมามีรายได้จากการขาย 5.71 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% และมีกำไรสุทธิ 4.39 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อน
การเติบโตของ SCGP ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยหลักได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของธุรกิจเยื่อและกระดาษ ซึ่งพลิกกลับมามีกำไร 587 ล้านบาท จากปีก่อนที่ขาดทุน 203 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร มีกำไรสุทธิลดลงเล็กน้อย 1% ทำได้ 3.94 พันล้านบาท เนื่องจากการชะลอตัวในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ขณะที่ส่วนงานอื่นมีกำไรสุทธิเติบโต 59% จากปีก่อน ทำได้ 3.69 พันล้านบาท
วิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCGP เปิดเผยว่า การลดลงของกำไรธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในไตรมาส 2 กดดันจากต้นทุนค่าขนส่งและต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ส่วนครึ่งปีหลังยังต้องติดตามดูสถานการณ์ ซึ่งบริษัทพยายามควบคุมให้ไม่กระทบมากนัก
ส่วนเยื่อกระดาษฟื้นตัวตามวัฏจักรของราคาเยื่อกระดาษในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น การพยายามลดต้นทุน รวมถึงการพยายามปรับธุรกิจเยื่อกระดาษไปสู่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารเพิ่มเติม
ทิศทางการดำเนินงานของ SCGP ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายรายได้จากการขายรวมทั้งปีไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท ด้วยการดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ที่วางไว้ และมีโครงการขยายกำลังการผลิต ได้แก่ การขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารจากกระดาษเพิ่มขึ้นอีก 1,615 ล้านชิ้นต่อปี ที่ประเทศไทยและประเทศเวียดนาม คาดว่าจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ รวมถึงการขยายกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ในฟิลิปปินส์อีก 220,000 ตันต่อปี และการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์แบบอ่อนตัวในประเทศไทยอีก 53 ล้านตารางเมตรต่อปี ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ปีนี้
ล่าสุด SCGP ได้ปิดดีลการเข้าถือหุ้น 70% ใน Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation (Duy Tan) ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูปในเวียดนาม นอกจากนี้ยังมีดีลที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งคาดว่าจะปิดดีลสำเร็จในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ได้แก่ การเข้าถือหุ้น 75% ใน PT Indonesia Dirtajaya Aneka Industri Box, PT Bahana Buana Box และ PT Rapipack Asritama (Intan Group) เพื่อขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในประเทศอินโดนีเซีย และการเข้าถือหุ้น 85% ใน Deltalab, S.L. ประเทศสเปน เพื่อเสริมศักยภาพการให้บริการและการเติบโตของวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ของ SCGP ในระดับโลก
“การควบรวมกิจการเป็นกลยุทธ์หลักของเราอยู่แล้ว ที่ผ่านมาเราเติบโตจากการซื้อกิจการไม่น้อย ซึ่งเราก็ยังคงมองหาการซื้อกิจการอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างฐานให้แข็งแกร่งมากขึ้น”
สำหรับ 3 บริษัทล่าสุดที่ SCGP เข้าซื้อกิจการล่าสุด จะช่วยสร้างรายได้ 1.2 หมื่นล้านบาทต่อปี และอีก 2 บริษัทที่คาดว่าจะปิดดีลได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะช่วยสร้างรายได้ราว 6 พันล้านบาทต่อปี
