เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2566 บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) รายงานกำไรสุทธิ 2Q66 อยู่ที่ 1.49 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.7%QoQ, ลดลง 20.0%YoY สูงกว่า INVX คาด 11% และสูงกว่า Consensus คาด 8% โดยเกิดจากการควบคุมต้นทุนได้ดีกว่าคาด กำไรสุทธิที่เติบโต QoQ สะท้อนถึงต้นทุนโดยรวมที่ลดลง ได้แก่ 1. ต้นทุนวัตถุดิบ (RCP) ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องใน 2Q66 จากการรับรู้ต้นทุน RCP ระดับต่ำ (ปรับตัวตามหลังราคาตลาดอยู่ 3-4 เดือน) และ 2. ราคาถ่านหินที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง (จาก 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันใน 1Q66 สู่ 85 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันใน 2Q66 และปัจจุบันที่ 69 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
รายการสำคัญใน 2Q66: รายได้อยู่ที่ 3.22 หมื่นล้านบาท ลดลง 4.0%QoQ โดยมีสาเหตุหลักมาจากยอดขายของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (74.8% ของยอดขายรวม) ที่ลดลง 5%QoQ เนื่องมาจากปริมาณการขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซียลดลง อันเป็นผลมาจากวันหยุดยาวช่วงเทศกาลฮารีรายอ (Hari Raya) แต่ได้รับการชดเชยบางส่วนจากยอดขายของสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ (21.3% ของยอดขายรวม) ที่เพิ่มขึ้น 3%QoQ โดยเกิดจากปริมาณการขายและส่วนต่างราคาเยื่อเคมีละลายได้ที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่เพิ่มขึ้นในจีน และความต้องการกระดาษพิมพ์เขียนที่เพิ่มขึ้นในช่วงเลือกตั้งและเปิดเทอม
ในด้านต้นทุนปรับตัวดีขึ้น ส่วนใหญ่เกิดจากต้นทุน เช่น วัตถุดิบ ค่าขนส่ง และพลังงาน ส่งผลให้ EBITDA Margin ทั้งในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรและสายธุรกิจเยื่อกระดาษดีขึ้น อีกทั้งกำไรยังได้รับการสนับสนุนจากปริมาณการขายบรรจุภัณฑ์อาหารและผลิตภัณฑ์กระดาษพิมพ์เขียนที่เพิ่มขึ้นด้วย ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมปรับตัวดีขึ้นสู่ 18.2% (เพิ่มขึ้น 600 bps QoQ) ใน 2Q66
สำหรับเงินปันผลงวด 1H66 คณะกรรมการของ SCGP มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลที่อัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น จากผลการดำเนินงานงวด 1H66 ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 8 สิงหาคม 2566
กระทบอย่างไร:
วันนี้ 26 กรกฎาคม ณ เวลา 12.30 น. ราคาหุ้น SCGP ปรับลดลง 1.88%DoD อยู่ที่ระดับ 39.25 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 0.19%DoD อยู่ที่ระดับ 1,523.37 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:
แนวโน้มผลประกอบการคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องใน 2H66 โดยจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปใน 3Q66 โดยได้รับการสนับสนุนจากความต้องการบรรจุภัณฑ์โดยรวมที่ฟื้นตัวสู่ระดับปกติ เนื่องจากจีนนำเข้าบรรจุภัณฑ์กระดาษกลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด ประกอบกับความต้องการบรรจุภัณฑ์โดยรวมที่เข้าสู่ช่วงไฮซีซัน และต้นทุนโดยรวม (วัตถุดิบและถ่านหิน) ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ SCGP ตั้งงบสำหรับทำ M&P ในปีนี้ไว้ที่ 9.0 พันล้านบาท ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่ม Upside ให้กับกำไรของบริษัทในช่วงที่เหลือของปีนี้
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ InnovestX Research เชื่อว่าราคาหุ้น SCGP ที่ปรับตัวลดลง 29.8%YTD สะท้อนปัจจัยลบส่วนใหญ่ไปแล้ว ในขณะที่ผลประกอบการปกติที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 1-2 ไตรมาสข้างหน้าจะช่วยจำกัด Downside Risk โดยยังคงเรตติ้ง Outperform สำหรับ SCGP ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 52 บาทต่อหุ้น อ้างอิง PE เฉลี่ยที่ 31.6 เท่า
ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้าหลังเปิดประเทศ และผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว