“เอสซีจีมองเห็นศักยภาพของเวียดนามมาตั้งแต่หลายสิบปีก่อน และวันนี้เวียดนาม คือ Second Home ของเรา เมื่อมองในเชิง Performance ผู้บริโภคชาวเวียดนาม มีไลฟ์สไตล์ Variety บวกกับ แรงงานที่อายุเฉลี่ยเพียง 27-28 ปี จึงเต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่ Gen Z ที่ขยัน ตั้งใจ และเรียนรู้เร็ว นี่คือพลังขับเคลื่อนสำคัญของประเทศ” กุลเชฏฐ์ กล่าว

กุลเชฏฐ์ ธาราจันทร์ Country Director – Vietnam เอสซีจี และรองผู้จัดการใหญ่ เอสซีจีซี
THE STANDARD WEALTH เดินทางไปยังจังหวัดบ่าเสียะ-หวุงเต่า เมืองลองเซิน ประเทศเวียดนาม เพื่อชมโครงการ Long Son Petrochemicals (LSP) คอมเพล็กซ์ปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกของเวียดนาม
พร้อมพูดคุยกับ กุลเชฏฐ์ ถึงแผนการลงทุนเวียดนาม ว่า ท่ามกลางความท้าทายภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitic) ‘เวียดนาม’ ถือเป็นประเทศยุทธศาสตร์สำคัญของเอสซีจี เป็น ‘Regional Optimization’ กลยุทธ์การบริหารธุรกิจแบบบูรณาการทั่วอาเซียน โดยผสานจุดแข็งของแต่ละประเทศร่วมกัน ทั้งฐานการผลิต ทรัพยากร และศักยภาพทางเศรษฐกิจ
เอสซีจีเข้ามาลงทุนเวียดนามตั้งแต่ปี 1990 ด้วยปัจจัยเด่นหลายๆ ด้าน วันนี้ เวียดนามเติบโตอย่างมากและกลายเป็น ‘Rising Star’ แห่งเอเชีย
กุลเชฏฐ์ เผยว่า เนื่องจากตลาดในประเทศที่มีประชากรกว่า 100 ล้านคน มีวัยแรงงานเยอะ มีการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ต้นทุนการผลิตที่แข่งขันได้ ทั้งค่าแรงของเวียดนามยังต่ำกว่าไทยประมาณ 15-20% และค่าไฟฟ้าต่ำกว่าไทยถึง 30-35% และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนการลงทุนและการส่งออก
โดยจะเห็นได้ว่าในปี 2567 เศรษฐกิจเวียดนามเติบโต 7.1% มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (Gross Domestic Product) หรือ GDP อยู่ที่ 4.76 แสนล้านดอลลาร์ และดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศกว่า 3.82 หมื่นล้านดอลลาร์ และอนาคตตั้งเป้าโตให้ถึง 10%
เอสซีจีทุ่มลงทุนในเวียดนาม 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
กุลเชฏฐ์ ระบุว่า ปัจจุบัน เอสซีจีและบริษัทในเครือ 28 แห่ง ได้ลงทุนในเวียดนามรวมกว่า 7 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 28% ของสินทรัพย์รวมของเอสซีจี ครอบคลุมทั้งธุรกิจเคมีภัณฑ์ ซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง เซรามิกส์ บรรจุภัณฑ์ และโลจิสติกส์ทั่วประเทศ ทำให้สามารถบริหารต้นทุน และห่วงโซ่อุปทานแบบบูรณาการได้ดี
“ด้วยอัตราการบริโภค ที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะตลาดพลาสติก ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง 7-8% ในขณะที่สินค้าอื่นๆ ต่างก็กำลังทะยานสู่ระยะ Take off”
นอกจากนี้ประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ยังสามารถผสานจุดแข็งกับไทย ซึ่งได้ยกระดับ ไม่ว่าจะเป็น
- การถ่ายทอดองค์ความรู้ ด้านเทคโนโลยี มาตรฐานความปลอดภัย และการบริหารโรงงานจากไทยสู่เวียดนาม
- การใช้เวียดนามเป็นฐานการส่งออก จากความได้เปรียบด้านข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับกว่า 60 ประเทศ เช่น ส่งออกกระเบื้อง Glazed Porcelain ของ PRIME GROUP และซีเมนต์คาร์บอนต่ำไปยังสหรัฐอเมริกา
- เพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค เช่น ธุรกิจเคมิคอลส์ สามารถวางแผนการผลิตและการตลาดร่วมกันระหว่าง Cracker ทั้ง 3 แห่ง (ROC-MOC-LSP) เพื่อให้ไทยมุ่งผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA)
- ขณะที่ LSP มุ่งผลิตสินค้าเพื่อตอบ โจทย์ตลาดขนาดใหญ่ในเวียดนามและส่งออกสู่ตลาดโลก
ปักหมุด LSP โครงการปิโตรเคมียักษ์ ‘ลองเซิน’ เมืองท่าเล็กๆ ที่กำลังพาเศรษฐกิจเวียดนามโต
การเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามที่กำลังเร่งตัวอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคอาเซียน มีการท่องเที่ยว การพัฒนาเมืองรองหลายเมือง หนึ่งในนั้นเป็นเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เริ่มถูกจับตามองมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือ ‘ลองเซิน’ (Long Son) เป็นเมืองอุตสาหกรรมในจังหวัดบ่าเสียะ-หวุงเต่า (Ba Ria – Vung Tau) ของเวียดนาม อยู่ห่างจากนครโฮจิมินห์ประมาณ 100 กิโลเมตร
เมืองนี้เป็นที่รู้จักในฐานะศูนย์กลางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี
แม้เป็นเมืองท่าที่เล็กๆ ไม่เท่าเมืองใหญ่เช่นโฮจิมินห์หรือฮานอย แต่ลองเซินเต็มไปด้วยศักยภาพด้านโลจิสติกส์ เป็นเมืองอุตสาหกรรมใหม่ และกำลังสร้างบทบาทสำคัญในฐานะ ‘ประตูเศรษฐกิจ’ แห่งใหม่ของเวียดนาม

โครงการปิโตรเคมีขนาดใหญ่ Long Son Petrochemicals (LSP) กลางเกาะลองเซิน
LSP จึงเป็นโครงการยักษ์ที่เอสซีจี ยกให้เป็น หัวใจสำคัญของกลยุทธ์ ซึ่งมีเป้าหมายที่ไม่ใช่แค่เพิ่มกำลังผลิต แต่เป็นการ ‘เปลี่ยนเกมต้นทุน’ โดยนำเอา ‘อีเทน’ แทน ‘แนฟทา’ มาใช้กว่า 70%
นับว่าเป็นโครงสร้างสุดท้าทาย ที่ไม่ใช่แค่การก่อสร้างโรงงาน แต่คืองานด้านวิศวกรรมที่ใหญ่ระดับภูมิภาค ที่ LSP บริษัทย่อยใน เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) ได้ทุ่มงบลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคอมเพล็กซ์แห่งนี้ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,900 ไร่
นอกจากเป็นโรงงานผลิตโอเลฟินส์ ขนาดใหญ่แห่งแรกในเวียดนาม ยังเป็นโครงการลงทุนจากต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของไทยในเวียดนาม หรือคิดเป็นมูลค่ากว่าหนึ่งในสามของการลงทุน FDI รวมของไทยในเวียดนามทีเดียว
กุลเชฏฐ์ เผยว่า วันนี้โครงการเดินหน้าไปแล้วกว่า 20% ยังคงเป็นไปตามแผน แต่หลังจากปี 2027 จะเป็น ‘จุดเปลี่ยน’ สำคัญ เมื่อโรงงานสามารถใช้วัตถุดิบต้นทุนต่ำ จากสหรัฐฯได้เต็มรูปแบบ รับการฟื้นตัวของตลาดปิโตรเคมีในภูมิภาค
กำลังผลิตรวม 1.35 ล้านตัน/ปี เดินเครื่องโรงงานพอลิโอเลฟินส์ 3 แห่ง ภายในคอมเพล็กซ์มี 2 โรงงานผลิตพอลิเอทิลีน (HDPE และ LLDPE) และ 1 โรงงานผลิตพอลิโพรพิลีน (PP) ที่มีกำลังการผลิตรวม 1.4 ล้านตันต่อปี นอกจากนี้ ยังมีท่าเรือ และถังเก็บสารเคมีและสารตั้งต้น โรงงานผลิตสาธารณูปโภค และอื่น ๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ซีอีโอ ‘เอสซีจี เคมิคอลส์’ จับตาสงครามการค้าใกล้ชิด ยอมรับวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงรอบนี้รุนแรงและยาวนานกว่าปกติ พร้อมปรับแผนธุรกิจรับมือทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
- ปตท. รับมือปิโตรเคมีขาลง ศึกษาปรับพอร์ตกิจการ PTTGC-TOP-IRPC พร้อมศึกษาลดสัดส่วนแบ่งขายหุ้นทั้ง 3 บริษัทให้พาร์ตเนอร์ต่างชาติ คาดว่าจะมีความชัดเจนปลาย 2Q68
- ปตท. เร่งเดินหน้าหาพาร์ตต่างชาติ รับมือวัฏจักรปิโตรเคมีขาลง เน้นกุมฐานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน PTTGC-TOP-IRPC
- อนาคตธุรกิจ ‘โรงกลั่น’ ขาลง หรือ เบนเข็มทำปิโตรเคมี
โดยผลิตภัณฑ์หลักของ LSP ได้แก่ เม็ดพลาสติกชนิดพอลิเอทิลีน (HDPE และ LLDPE) และพอลิโพรพิลีน (PP) ซึ่งมุ่งจำหน่ายทั้งในเวียดนามและส่งออกต่างประเทศ ช่วยลดการนำเข้าและเสริมความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมของเวียดนาม
“ในช่วงที่สถานการณ์ตลาดปิโตรเคมีมีความท้าทาย LSP ปรับแผนการผลิตของโรงงาน เพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบก๊าซโพรเพน เพื่อบริหารต้นทุน เพิ่มศักยภาพการแข่งขันได้ดี”
เมื่อถาม กุลเชฏฐ์ ว่าทำไมจึงเลือกที่นี่?
“นอกจากศักยภาพเศรษฐกิจเวียดนาม ที่นับวันจะยิ่งเติบโต คำว่าคอมเพล็กซ์ คือ การรวมต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ครบวงจร ฉะนั้น อันดับแรก ต้องมีที่ดินผืนใหญ่ ถัดมาคือต้องเป็นท่าเรือน้ำลึก ถ้าเทียบเมืองไทย ทำไมคนไปศรีราชา เพราะใกล้พอร์ต มีคอนเทนเนอร์ เช่นเดียวกันกับ ลองเซิน ที่นี่จึงเป็น Perfect location และอนาคตจะมีโครงสร้างพื้นฐานที่สะดวก” กุลเชฏฐ์ กล่าว

คอมเพล็กซ์ ‘LSP’ ครอบคลุมพื้นที่ 1.9 พันไร่ นำเทคโนโลยีขั้นสูง จากไทยมาพัฒนาผลิตอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ที่นี่สร้าง หอเผาไร้ควัน (Enclosure Ground Flare) ขนาดใหญ่แห่งแรกในเวียดนาม ใช้ระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพสูง และเทคโนโลยีลดมลพิษทางอากาศ เป็นต้นแบบโรงงานเพื่อสิ่งแวดล้อมยั่งยืน ซึ่งรัฐบาลเวียดนามเองก็ให้ความสำคัญเป็นสิ่งแรก
กุลเชฏฐ์ ระบุถึง ความท้าทายอุตสาหกรรมปิโตรเคมี อีกว่า หลังการหยุดซ่อมบำรุง ทีมงาน LSP สามารถเดินเครื่องกลับมาได้รวดเร็ว ไม่มีอุบัติการณ์ใหญ่ ไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพ และต้นทุนยังดี กลับมาฟื้นอีกครั้งได้ใน 3 เดือน
วางกลยุทธ์รับมือวัฏจักรขาลงปิโตรเคมีและภาษีสหรัฐฯ
จากกลยุทธ์ที่วางไว้วันนี้ “เมื่อสามารถเดินเครื่องกำลังผลิตได้เต็มที่ใน 3 ปีข้างหน้า วันนั้นจะเป็นอีกบทพิสูจน์ว่า เอสซีจีพร้อมรับมือกับทุกวัฏจักรปิโตรเคมีในอนาคต”
อย่างไรก็ตาม เอสซีจีซี ยังคงเดินหน้าและเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือความท้าทายต่างๆ โดยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน อาทิ การมีฐานผลิต 3 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย
ส่วนประเด็นเรื่องภาษีส่งออกไปสหรัฐฯ แทบไม่กระทบต่อต้นทุนของเอสซีจีในเวียดนาม เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่ใช้เงื่อนไขการขายแบบ Free on Board (FOB) ทำให้ภาระภาษีนำเข้า ค่าเรือ และค่าขนส่งในสหรัฐฯ ตกอยู่กับผู้นำเข้า ไม่ใช่ผู้ส่งออกอย่างที่เอสซีจีที่ท่าเรือเวียดนาม
นอกจากนี้ นโยบายเกี่ยวกับการ Transshipment ยังเอื้อประโยชน์ให้เอสซีจี เพราะหากมีการนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศที่ 3 แล้วแปรรูปเพียงเล็กน้อยในเวียดนามก่อนส่งไปสหรัฐฯ สินค้าจะถูกจัดเก็บภาษีสูงถึง 40% ดังนั้น การที่ LSP เป็นผู้ผลิตในประเทศจึงช่วยลดความเสี่ยงด้านภาษีให้ลูกค้าได้อย่างมีนัยสำคัญ
บุคคลากรโรงงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานหนุ่มสาว อายุเฉลี่ย 28 ปี
Binh Minh Plastics (BMP) ผู้นำตลาดท่อพลาสติกพรีเมียม รับดีมานด์เวียดนามโตแรง
นอกจากธุรกิจปิโตรเคมีในประเทศเวียดนามแล้ว อีกหนึ่งธุรกิจที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับเอสซีจีซี คือ ธุรกิจท่อและข้อต่อพลาสติก ภายใต้ บริษัท บิ่นมินห์ พลาสติก (Binh Minh Plastics หรือ BMP) เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ (HOSE) ประเทศเวียดนาม
นิวัฒน์ เปิดเผยว่า บินห์มินห์พลาสติก (BMP) บริษัทย่อยใน เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2520 เป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายท่อและ ข้อต่อพลาสติกคุณภาพชั้นนำในเวียดนาม
แรงหนุนตลาดอสังหา ค้าปลีก หนุ่มสาวเวียดนาม
“ธุรกิจนี้เติบโตอย่างมาก จาก FDI ไหลเข้าต่อเนื่อง แรงหนุนตลาดอสังหา ประชากรหนุ่มสาวที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัย ตลาดค้าปลีก โครงสร้างพื้นฐานเวียดนามโตขึ้นทุกปี”
ปัจจุบัน BMP มีสำนักงานใหญ่ในนครโฮจิมินห์ มีโรงงานผลิต 3 แห่ง และมีเครือข่ายจัดจำหน่าย 2,500 ร้านค้า ตั้งอยู่ที่ นครโฮจิมินห์ มีกำลังการผลิตรวม 150,000 ตันต่อปี
โดยปีที่ผ่านมา 2567 บริษัทฯ ลงทุนกว่า 3.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตกว่า 100 โครงการ ปัจจุบัน BMP สามารถพัฒนาแขนกลหุ่นยนต์ (Robot Arms) ภายในโรงงานได้เองถึง 99 ตัว และตั้งเป้าหมายสู่การผลิตแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
“เวียดนามยังโตได้อีกมาก และเราภูมิใจที่เอสซีจีได้เป็นส่วนหนึ่ง ในการพัฒนาประเทศ ผ่าน LSP, BMP และธุรกิจในเครือทั้งหมด นี่คือความร่วมมือไทย-เวียดนาม ที่จะเสริมความแข็งแกร่งของอาเซียนในระยะยาว เกิดเป็นพลังใหม่ที่กำลังเปลี่ยน Landscape ตลาดเวียดนาม”

นิวัฒน์ อธิวัฒนานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิ่นมินห์ พลาสติก
นโยบาย ‘โด๋ยเม้ย’ กับปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของเวียดนาม
ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เวียดนามมีการผลักดันโครงการระดับประเทศจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น โด๋ยเม้ย (Doi Moi) คือ นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของเวียดนาม, พัฒนาการศึกษา, นิคมอุตสาหกรรมใหม่, ระบบท่อสาธารณูปโภค, เขตพัฒนาเศรษฐกิจ, อาคารสูงและโครงการเมืองใหม่
ทุกโครงการต้องใช้ระบบท่อคุณภาพสูง
นี่คือพื้นที่ที่ ‘SCG + BMP’ กำลังขยายฐานอย่างรวดเร็ว ดังนั้น BMP ไม่ได้เป็นแค่โรงงาน แต่กำลังกลายเป็น ‘ผู้เล่นสำคัญของระบบโครงสร้างประเทศ’ ขณะที่ SCG คือผู้ผลักดันจากเบื้องหลังอย่างแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมา
การเข้าซื้อหุ้นและร่วมพัฒนา Binh Minh Plastics (BMP) จึงไม่ใช่การลงทุนธรรมดา แต่คือกลยุทธ์ระยะยาวที่ทำให้ SCG ปักธงในตลาดวัสดุก่อสร้างเวียดนามแบบยั่งยืน

แม้ LSP เฟส 2 ต้องชะลอไว้ ด้วยวิกฤตปิโตรเคมีวัฏจักรต่ำสุดรอบ 30 ปี นี่คือช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั่วโลกรับความเสี่ยง และเหนื่อยไม่แพ้กัน ทว่า…เอสซีจี มองบวก
กุลเชฏฐ์ ทิ้งท้ายว่า จากกลยุทธ์ดังกล่าวข้างต้น ในตลาดใหญ่อย่างอาเซียน “ผู้ชนะไม่ใช่คนที่วิ่งเร็วที่สุด แต่คือคนที่ เข้าใจลูกค้ามากที่สุด ก้าวต่อไป ต้องปรับลุค และเอสซีจีเวียดนาม จะค่อยๆ เติบโต โตจาก LSP เป็นหลัก”
โดยลองเซินอยู่ในโซนที่มีความได้เปรียบด้านโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐานทางทะเล เหมาะสำหรับคอมเพล็กซ์ปิโตรเคมีที่ต้องใช้วัตถุดิบและขนส่งสินค้าออก ผ่านทางเรือไปทั่วเอเชียและโลก

2-3 ปีที่ผ่านมาธุรกิจเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่เอสซีจี เรามองข้ามช็อต มองภาพอีก 5-10 ปีข้างหน้า ที่นับวันอาเซียนจะยิ่งเติบโต และหาก ‘เวียดนาม’ เติบโต ‘เอสซีจี’ ก็จะเติบโตตามไปด้วยเช่นกัน



