ท่ามกลางพายุเศรษฐกิจโลกที่ไม่มีวันย้อนกลับ งาน SCB WEALTH Holistic Wealth Forum 2025 เปิดแผนรับมือแบบ 3 มิติ ส่องโอกาสทองไทยในยุค ‘ชัชวาล เวอร์ชั่น 2’ วิเคราะห์คลื่นลงทุน 15 ล้านล้านดอลลาร์ใน AI Infrastructure และเตือนบทเรียน Family Governance ที่จะเป็นตัวชี้วัดความมั่งคั่งระยะยาว
SCB WEALTH: Holistic Wealth Forum 2025 ได้เปิดฉากขึ้นภายใต้แนวคิด ‘Storm Shift’ เพื่อสะท้อนภาพใหญ่ของโลกที่กำลังเปลี่ยนไป และเผยทิศทางการลงทุนที่นักลงทุนยุคใหม่ต้องรู้เพื่อ “นำเรือฝ่าพายุ ไม่ใช่รอให้พายุสงบ”

‘กฤษณ์ จันทโนทก’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวในงานว่า “สถานการณ์ของโลกเราในวันนี้มีการแบ่งแยก กีดกัน ผันผวน และผมเชื่อเหลือเกินว่า โลกเราคงไม่กลับไปเป็นแบบเดิมอีกต่อไป”
คำกล่าวนี้จึงกลายเป็นจุดตั้งต้นในการออกแบบมุมมองใหม่ของความมั่งคั่ง ที่ต้องมองเห็นลมเปลี่ยนทิศ รู้เส้นทางที่จะไปต่อ และมีหลักยึดที่มั่นคงในวันที่คลื่นแรง เป็นการกำหนดกรอบคิดใหม่ให้นักลงทุนได้เรียนรู้การ ‘นำเรือฝ่าพายุ’ แทนการทอดสมอรอให้พายุสงบ
ด้วยเหตุนี้ SCB WEALTH จึงออกแบบกลยุทธ์การบริหารความมั่งคั่งในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้ออกเป็น 3 มิติหลัก ได้แก่ Illuminate (มองเห็นโอกาส), Navigate (วางเส้นทาง), และ Anchor (วางหลักความมั่นคง) เพื่อรับมือนิยามความมั่งคั่งยุคใหม่ที่ซับซ้อนขึ้น
Part I: Illuminate – มองเห็นโอกาส
ไทยในยุค ‘ชัชวาล เวอร์ชั่น 2’ : 2 +2 ปีแห่งโอกาสทอง FDI รอบใหม่
‘นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์’ เลขาธิการ BOI ฉายภาพสำคัญว่า ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญ ซึ่งคล้ายคลึงกับโอกาสทองในยุค ‘โชติช่วงชัชวาล’ เมื่อ 30 ปีก่อน โดยชี้ว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบวกกับ 2 ปีข้างหน้า คือหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศ ในการรับคลื่นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) รอบใหม่
5 ปัจจัยหลักที่เร่ง FDI เข้าสู่ไทย
- Geopolitics: การกีดกันทางเทคโนโลยีทั่วโลก ทำให้ภูมิภาคอาเซียนกลายเป็น Safe Haven ดึงดูดเม็ดเงินลงทุน โดย FDI โลกติดลบ แต่ FDI ในอาเซียนยังเติบโตถึง +8%
- Sustainability: ข้อบังคับด้านพลังงานสีเขียว (Green Energy) ผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตที่ตอบโจทย์
- AI Revolution: ไทยรับอานิสงส์เต็มๆ จากการลงทุนใน Data Center, Semiconductor และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ซึ่งทำให้ BOI มีการเติบโตของคำขอลงทุนถึงกว่า 90% ใน 9 เดือนแรกของปี
- Global Minimum Tax (GMT): การเตรียมมาตรการ Tax Credit และ Grant เพื่อรองรับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เข้าข่าย GMT
- Aging Society: การเร่ง Automation ทั่วโลกทำให้ไทยถูกมองเป็นฐานการผลิตที่น่าสนใจ

BOI ได้สรุป 3 มาตรการใหม่เพื่อเปลี่ยน FDI ให้เป็นผลลัพธ์รูปธรรม ได้แก่ Fast Pass (เร่งอนุมัติแบบ Fast Track), Skill Development (เทรนนิ่งบุคลากร 100,000 คน โดย BOI อุดหนุนเกือบทั้งหมด), และ Smart & Sustainable Industry (ให้เลือกรับสิทธิประโยชน์ Tax Holiday 3 ปี หรือเงิน Grant สูงสุด 50%)
ภารกิจสร้าง New S-Curve ของตลาดทุนไทย
อัสสเดช คงสิริ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ดัชนี SET ยังไม่สะท้อนภาพเศรษฐกิจใหม่ทั้งหมด เนื่องจากยังคง ‘ติดกับ Old Economy’

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ SET จึงเปิดตัวโปรแกรม Jump Plus Acceleration เพื่อยกระดับและผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนเดิมมีแผนการลงทุนและปรับตัวใน 2-3 ปีข้างหน้า รวมถึงมีการสื่อสารแผนเพื่อเพิ่มมูลค่าธุรกิจ (ROE) อย่างชัดเจน ตลาดทุนไทยจึงกำลังขยับจากการ ‘ตามเศรษฐกิจเก่า’ ไปสู่การ ‘สร้างเศรษฐกิจใหม่’ อย่างจริงจัง
Part II: Navigate – วางเส้นทาง
คลื่นยักษ์ AI Infrastructure: โอกาส 15 ล้านล้านดอลลาร์ ที่ไม่ใช่แค่ฟองสบู่
ศรชัย สุเนต์ตา รองผู้จัดการใหญ่ ฝ่าย Wealth and Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ ชี้ว่า โลกกำลังเปลี่ยนผ่านจาก Digital Economy สู่ เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยเฉพาะการมาถึงของ Agentic AI (AI ที่มี Memory และสามารถทำ Action แทนมนุษย์ได้)

การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญมองว่า “เมกะเทรนด์โลก” คือโอกาสสร้างผลตอบแทนระยะยาว หลังอดีตพิสูจน์แล้วว่าช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี เช่น อินเทอร์เน็ตและดิจิทัล ดัน Nasdaq และหุ้น FAANG พุ่งหลายเท่าตัว ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกกำลังก้าวสู่ยุค AI ส่งผลให้หุ้น Magnificent 7 ที่เชื่อมโยงกับ AI ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา การเติบโตแบบก้าวกระโดดของ AI ทำให้ความต้องการด้านพลังประมวลผลและโครงสร้างพื้นฐานพุ่งสูง จำเป็นต้องเร่งลงทุนใน AI Infrastructure ระดับเมืองและประเทศในอีก 5–10 ปีข้างหน้า ผู้เชี่ยวชาญมองว่า นอกจากหุ้น AI โดยตรง นักลงทุนยังสามารถมองหาโอกาสในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เช่น Cloud computing โครงสร้างพื้นฐานข้อมูล และระบบไฟฟ้าที่ต้องขยายรองรับดาต้าเซ็นเตอร์ในอนาคต
เช่นเดียวกับ BlackRock ที่ได้ตอกย้ำถึงโอกาสครั้งสำคัญนี้ โดย Mr. George Maltezos, Head of BlackRock Capital Formation Team (CFT) in Asia Pacific and Head of Southeast Asia Institutional Client Business ระบุว่า ช่องว่างทางการเงินสำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนทั่วโลกนั้นสูงถึง 15 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์
“เม็ดเงินนี้เทียบเท่างบประมาณรวมของสหรัฐฯ จีน และเยอรมนีรวมกัน” George Maltezos กล่าว และอธิบายเพิ่มว่า นี่คือช่องว่างเชิงโครงสร้างที่ไม่ใช่ฟองสบู่ (Bubble) แต่เป็นความจำเป็นที่รัฐบาลเพียงลำพังไม่สามารถเติมเต็มได้

โดยโอกาสลงทุนใน 4 Layers ของ AI Infrastructure มีดังนี้
- Data Center: บ้านของ AI
- Cloud Computing: แพลตฟอร์มเชื่อมต่อความสามารถ
- Semiconductor: ชิปที่เป็นสมอง
- Cybersecurity: ระบบป้องกันที่จำเป็นเมื่อทุกอย่างเชื่อมต่อ
นอกจากนี้ George Maltezos ยังชี้ว่า ประเทศไทยเป็นตลาดที่น่าตื่นเต้นที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับการเป็น Data Center Hub ด้วยจุดแข็งด้านที่ดินเพียงพอสำหรับ Solar Farm, ความมั่นคงด้านพลังงาน (Power Security), และทำเลที่เป็นจุดเชื่อมกลางอาเซียน โดย BlackRock คาดการณ์ว่าไทยมีศักยภาพในการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับผู้เล่นระดับโลกอย่าง Microsoft, Amazon, และ Google ได้ 10 เท่า
ทองคำ: จาก ‘สมอเรือ’ สู่ ‘ใบเรือ’
เมื่อทองคำกลายเป็นมากกว่าเครื่องประดับ แต่คือกลยุทธ์ป้องกันความมั่งคั่งในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลง
ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง ฉายให้เห็นภาพที่เปลี่ยนไปของตลาดทองคำ โดยลูกค้าที่เดินเข้ามานั้นไม่ได้ถือสร้อยทองมาขายเพื่อแก้จน แต่กลับมาพร้อมเป้าหมายที่ชัดเจน นั่นคือการซื้อทองแท่ง ซื้อเหรียญ เพื่อเก็บออมความมั่งคั่ง

“คนหันมาซื้อเหรียญกับซื้อทองแท่งเยอะขึ้น เพราะว่ามองเป็นสินทรัพย์เพื่อเก็บออมความมั่งคั่ง” เขากล่าวบนเวทีเสวนา สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตลาด
นี่ไม่ใช่แค่เทรนด์ชั่วคราว แต่คือการเปลี่ยนผ่านของบทบาททองคำในระบบการเงินโลก จากที่เคยเป็น ‘สมอเรือ’ ยึดเหนี่ยวความมั่นคงในอดีต กลับมาเป็น ‘ใบเรือ’ ที่ผลักดันพอร์ตการลงทุนให้ก้าวหน้าในยุคปัจจุบัน
เปิด 3 ปัจจัยหลัก ที่เปลี่ยนโฉมหน้าทองคำ
- ธนาคารกลางกลับมาจริงจัง
ตัวเลขทางสถิติบอกไว้หมดแล้ว ในปี 2008 ธนาคารกลางทั่วโลกถือทองคำในทุนสำรองเพียง 30,002.3 ตัน หรือประมาณ 10.24% ของทุนสำรองทั้งหมด แต่ ณ ปัจจุบันในไตรมาส 2 ปี 2025 ตัวเลขนั้นได้พุ่งขึ้นเป็น 36,362.8 ตัน หรือราว 21.46% และที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2025 เพียงอย่างเดียว ธนาคารกลางซื้อทองคำไปแล้วกว่า 600 ตัน คาดว่าจะปิดปีที่ระดับ 800-900 ตัน
“ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาที่ Central Bank ซื้อเกิน 1,000 ตันขึ้นไป ซึ่งเยอะกว่า Average 10 ปีที่ผ่านมามาก” ธนรัชต์อธิบายถึงความเร่งด่วนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
- อุปทานไม่ทันอุปสงค์
ฝั่งอุปทานในช่วง 3 ไตรมาสของปี 2025 เหมืองทองทั่วโลกผลิตได้ประมาณ 2,716 ตัน บวกกับทองรีไซเคิลอีกราว 1,040.5 ตัน ขณะเดียวกัน อุปสงค์รวมได้แตะระดับ 3,639 ตัน ซึ่งช่องว่างนี้ถูกเติมด้วยทองรีไซเคิลและการปรับราคาขึ้นเพื่อหาจุดสมดุลใหม่
- ยุค De-dollarization มาถึงจริง
“การ De-dollarization มันเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างระยะยาว ไม่ใช่แค่การเก็งกำไร” แพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวในเซสชันเดียวกัน โดยชี้ให้เห็นมิติที่ลึกกว่าตัวเลขราคา

เขาวิเคราะห์ว่า ปีนี้ที่ดอลลาร์อ่อนค่าอย่างมีนัยสำคัญ มาจากนโยบาย Trade War ที่ชัดเจนของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งต้องการให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางการค้า นี่คือจังหวะที่ทองคำได้เปรียบ
ตัวเลขสำคัญที่นักลงทุนควรจำ
- คาดการณ์ราคาทองคำปี 2026: 4,700 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์
- กลยุทธ์การจัดพอร์ต: 15% คือตัวเลขมหัศจรรย์, ปกติสินทรัพย์ทางเลือก (Alternate Asset) ควรอยู่ที่ 5-10% ของพอร์ต แต่ในยุคที่มีปัจจัยบวกมากมายอย่างตอนนี้ 15% จึงเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อป้องกันความเสี่ยง
- ซนโอกาสทอง: 3,700-3,800 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ เป็นระดับที่เหมาะสมในการทยอยเข้าซื้อสะสม และถือเป็นจังหวะเก็บระยะยาว
- กลยุทธ์: ทยอยเข้าซื้อเมื่อมีการปรับฐาน หรือ profit-taking
Home Bias: จุดอ่อนของนักลงทุนไทย
แพทริก ชี้ให้เห็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่นักลงทุนไทยมักมองข้าม ‘นักลงทุนไทยมี Home Bias สูง คือถือครองสกุลเงินต่างประเทศเพียง 5-10% เท่านั้น’
เมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาค จะพบว่านักลงทุนฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี มีการถือครองสกุลเงินต่างประเทศ 20-30% ขณะที่นักลงทุนไทย ถือครองสกุลเงินต่างประเทศเพียง 5-10% เท่านั้น
“ตลาดเงินบาทมีปริมาณการเทรดประมาณ 2-3 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน ซึ่งน้อยกว่าตลาดใหญ่ๆ มาก ทำให้การเคลื่อนขนาดใหญ่ของเงินทุนสามารถส่งผลต่อค่าเงินบาทได้ง่าย”

จึงเป็นที่มาของคำแนะนำในการกระจายความเสี่ยงด้วย Foreign Currency Deposit (FCD) สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงสกุลเงิน
“การลงทุนต่างประเทศมันคือโอกาส ไม่ใช่ความเสี่ยง ช่วงที่ทุกคนกลัวมันคือช่วงจังหวะที่เราอาจจะเข้าไปเก็บสะสมไม้แรก ไม้ 2 ไม้ 3 ได้” แพทริกย้ำถึงมุมมองที่ว่าความผันผวนคือโอกาส ไม่ใช่ภัยคุกคาม
เงินบาทปี 2026: จับตาโซน 33 -34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
แพทริกให้มุมมองคาดการณ์ค่าเงินบาทว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ มองว่าเงินบาทอาจแข็งค่าอีกเล็กน้อย เนื่องจาก 1) เทรนด์การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงปลายปี 2) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง ในเดือนธันวาคม และ3) สกุลเงินภูมิภาคอาจแข็งค่าได้ในระยะสั้น หนุนให้บาทแข็งค่าตามได้
ส่วนในปี 2569 มองว่าเงินบาทอาจกลับมาอ่อนค่าได้ เนื่องจาก 1) ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น จากเทรนการลงทุนด้าน AI ที่จะดำเนินต่อไป หนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเงินทุนที่มีแนวโน้มไหลเข้าสหรัฐฯ 2) เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มอ่อนแอลง รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจเพิ่มขึ้นในปีหน้าและ 3) ราคาทองคำมีแนวโน้มสูงขึ้นในอัตราที่น้อยลง รวมถึงผลของราคาทองคำต่อเงินบาทอาจมีน้อยลง โดยมองกรอบเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐปลายปี 2569 อยู่ที่ประมาณ 33.00 -34.00 บาท
Part III: Anchor – วางหลักความมั่นคง
Family Governance: พายุในบ้านที่อันตรายกว่าพายุนอกบ้าน
เมื่อความมั่งคั่งข้ามรุ่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเลขในพอร์ต แต่อยู่ที่โครงสร้างในบ้าน
โลกภายนอกอาจมีภาวะเศรษฐกิจถดถอย ดอกเบี้ยผันผวน หรือตลาดหุ้นพลิกกลับ แต่บนเวที SCB WEALTH Holistic Wealth Forum 2025 ผู้นำธุรกิจรุ่นใหญ่และผู้เชี่ยวชาญด้าน Family Governance ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ‘พายุในบ้าน’ บางครั้งอันตรายกว่าพายุข้างนอกหลายเท่า
“จริงๆ แล้วปัจจัยภายในมีผลค่อนข้างมาก เพราะทุกอย่างเริ่มต้นที่ครอบครัวก่อน ถ้าในครอบครัวเราไม่แข็งแรง ไม่มีความเข้าใจถึงเป้าหมายที่ชัดเจนเพียงพอ ไม่มีความเชื่อใจกัน มันก็จะเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปได้ยากมากขึ้น” สุธิดา มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNNEX ผู้ที่เคยพาบริษัทเติบโตจาก 10,000 ล้านบาท สู่กว่า 40,000 ล้านบาทในเวลาเพียง 10 ปี และเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ผ่านกระบวนการส่งต่อธุรกิจครอบครัวมาอย่างสวยงาม
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเล่าจากมุมมองเดียว แต่เป็นบทเรียนที่ถูกเสริมด้วยมุมมองทางกฎหมายจาก ‘นิติกานต์ ศรีอุทัย – หุ้นส่วนอาวุโส Baker McKenzie และมุมมองเชิงกลยุทธ์จาก ‘ดร.นิติ เนื่องจำนงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ร่วมเสวนาในเซสชันเดียวกัน

ความขัดแย้งภายใน: ศัตรูที่มองไม่เห็น
ในหนังสือตำราเศรษฐศาสตร์ ความเสี่ยงทางธุรกิจมักถูกจำแนกเป็น Market Risk, Credit Risk หรือ Operational Risk แต่สิ่งที่หนังสือไม่ค่อยพูดถึงคือ Family Conflict Risk – ความเสี่ยงจากความขัดแย้งภายในครอบครัว ซึ่งไม่ใช่ความเสี่ยงเล็กๆ มันคือปัจจัยที่บ่อนทำลายธุรกิจขนาดใหญ่ได้โดยตรง โดยเฉพาะเมื่อไม่มีโครงสร้างและข้อตกลงที่ชัดเจนไว้ล่วงหน้า
สามเสาหลักของ Family Governance ที่ห้ามมองข้าม
- โครงสร้างทางกฎหมาย: อย่าทิ้งให้เป็นแค่คำพูด
“ถ้าเราไม่มี basic understanding ที่ตรงกันแล้ว มันก็จะทำให้อาจเกิดความเข้าใจที่ไม่ตรงกันได้” นิติกานต์จาก Baker McKenzie เตือน และอธิบายว่า เอกสารทางกฎหมายสำคัญสามอย่าง ที่ครอบครัวธุรกิจต้องมี ได้แก่:
- ธรรมนูญครอบครัว (Family Constitution) – กติกาหลักที่ทุกคนในครอบครัวตกลงร่วมกัน
- Holding Company – โครงสร้างถือหุ้นที่ชัดเจน
- ข้อบังคับบริษัท – กรอบการบริหารที่ผูกมัดทางกฎหมาย
หากไม่มีเอกสารเหล่านี้ เมื่อเกิดข้อพิพาท (Dispute) การยุติจะยากลำบากมาก และที่แย่กว่านั้นคือ การสร้างเอกสารเหล่านี้จะยิ่งยากขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นแล้ว
- Generation Gap: ช่องว่างที่ใหญ่ขึ้นทุกที
ดร.นิติ ชี้ให้เห็นประเด็นที่หลายครอบครัวมักมองข้าม นั่นก็คือช่องว่างระหว่างรุ่น (Generation Gap) ไม่ได้แคบลงตามกาลเวลา แต่กลับกว้างขึ้นเรื่อยๆ
“ต้องหล่อหลอมทายาทให้มีความเข้าใจในการคิด S-curve การกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ (diversify) และการปรับตัวสู่ธุรกิจใหม่ๆ” ดร.นิติกล่าว
ทางออกคือการมี Family Council ที่ทำหน้าที่เป็นกลไกในการ:
- ฝึกอบรมและทดลองบทบาทให้กับทายาท
- สร้างกรอบและกลไกการตัดสินใจที่ชัดเจน
- เชื่อมโยงวิสัยทัศน์และวางเป้าหมายที่แท้จริงของครอบครัว

- บทเรียนจาก Synnex: สูตรที่ทำงานจริง
สุธิดาเล่าถึงหลักการสำคัญที่ทำให้การส่งต่อธุรกิจของ Synnex ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่น โดยมีหลักการหลัก 3 ประการ:
Competency First – ความสามารถอันดับหนึ่ง
“ตั้งแต่รุ่นลูกคุณปู่ที่เป็นผู้ก่อตั้ง เขาบอกว่าสิ่งที่อยากให้มากที่สุดคือ อยากให้ลูกหลานมีโอกาสได้มาทำธุรกิจของครอบครัว แต่รุ่นลูกและรุ่นหลานจะต้องมีความสามารถเหมาะกับธุรกิจ ถ้าไม่มีลูกหลานที่จะทำได้จริงๆ ก็จะเอามืออาชีพเข้ามาบริหาร” นี่คือการตัดสินใจที่ยากที่สุดสำหรับครอบครัวธุรกิจ การยอมรับว่าบางครั้งความรักไม่เพียงพอ ต้องมีความสามารถด้วย
Absolute Authority – อำนาจที่เด็ดขาด
การมอบอำนาจต้องชัดเจนและเด็ดขาดเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนผ่าน ไม่ใช่แบบครึ่งๆ กลางๆ เพื่อป้องกันการย้อนกลับมายุ่งเหยิงหรือการแทรกแซงจากรุ่นเก่า
Decisions for the Organization – ผลประโยชน์องค์กรเป็นที่ตั้ง
“เราไม่ได้ตัดสินใจโดยพื้นฐานของความผลประโยชน์ส่วนตัว เราเอาพื้นฐานที่ตั้งของผลประโยชน์องค์กรเป็นหลัก” สุธิดาย้ำจุดยืนที่ชัดเจน ซึ่งนี่คือจุดที่แยกธุรกิจครอบครัวที่ยั่งยืน ออกจากธุรกิจครอบครัวที่พังทลาย ได้อย่างชัดเจนที่สุด
บทสรุปของ SCB WEALTH Holistic Wealth Forum 2025 จึงไม่ใช่แค่การให้ข้อมูลเชิงลึก แต่คือพิมพ์เขียว (Blueprint) ในการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว ที่ต้องผนวกโอกาสทางเศรษฐกิจโลก (Illuminate) เข้ากับกลยุทธ์การลงทุนเชิงรุก (Navigate) และรากฐานภายในที่แข็งแกร่ง (Anchor) เพื่อนำพอร์ตโฟลิโอและธุรกิจครอบครัวให้รอดพ้นและเติบโตในยุคที่โลก ‘ไม่เหมือนเดิม’ อีกต่อไป


