ธนาคารไทยพาณิชย์ คาด ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวต่อเนื่องจากแรงหนุนนโยบายการผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์รวมถึงตลาดทุน พร้อมแนะนำให้จับจังหวะลงทุนหุ้นจีน
รุ่งโรจน์ เสกสรรค์วิริยะ ผู้อำนวยการอาวุโส Investment Product Selection and Partnership ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ตลาดหุ้นจีนที่มีทิศทางฟื้นปรับตัวขึ้นมาในขณะนี้ไม่ได้เหนือความคาดหมาย หลังจากหุ้นทั่วโลกทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับปัจจัยบวกที่สนับสนุนตลาดหุ้นมาจากนโยบายของรัฐบาลหรือทางการจีนพยายามดำเนินการอยู่ แบ่งออกเป็นได้ 2 หัวข้อ ดังนี้
- ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในรอบใหม่ เช่น การผ่อนคลายเงื่อนไขในการซื้อบ้านใหม่เพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงมีนโยบายจะพิจารณาการยกเลิกการเก็บภาษีซ้ำซ้อน (Double Tax) ของเงินปันผลของหุ้นจีน หรือกลุ่ม H-Share คือหุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจและจดทะเบียนในประเทศจีน แต่จดทะเบียนซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange)
- มีการดำเนินนโยบายที่คล้ายกับญี่ปุ่นคือ เปิดโอกาสเพื่อให้กลุ่มรัฐวิสาหกิจจีน (SOE) สามารถซื้อหุ้นคืนได้ และสามารถให้จ่ายเงินปันผลออกมาในจำนวนมากขึ้นได้ แม้ภาคการบริโภคของจีนจะยังไม่ได้ฟื้นตัวดีขึ้นกลับมาสู่ระดับปกติ แต่หากเป็นกลุ่มธุรกิจอื่นๆ โดยภาพรวม ทั้งภาคบริการและกลุ่มเทคคอมพานีต่างมีผลประกอบการที่สามารถฟื้นตัวขึ้นได้เป็นลำดับ โดยปัจจัยดังกล่าวมาทั้งหมดจึงส่ง Sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีนให้ฟื้นตัวดีขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้หากไปดูข้อมูลผลตอบแทนอัตราการจ่ายเงินปันผลของหุ้น HSCEI โดยมีหุ้นขนาดใหญ่ 50 บริษัทแรกถือเป็นหุ้นที่ถือโดย SOE ซึ่งมีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ค่อนข้างสูงซึ่งได้รับปัจจัยบวก โดยเฉพาะจากการยกเลิก Double Tax รวมทั้งประเด็นจากกรณีที่ Tencent ซึ่งประกาศซื้อหุ้นคืนมูลค่า 1 แสนล้านหยวน และ Alibaba ที่ประกาศซื้อหุ้นคืนมูลค่า 3 หมื่นล้านหยวน
ทั้งนี้ หลังจากรัฐบาลจีนมีการประกาศผ่อนคลายนโยบายด้านเศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผลักดันให้ตลาดหุ้นฮ่องกงและตลาดหุ้นจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้จะเริ่มเห็นการปรับฐานบ้างในระยะสั้น แต่ยังประเมินว่าตลาดหุ้นจีนจะยังมีโมเมนตัมปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีกจากนโยบายการผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์รวมถึงตลาดทุน
จับตาความเสี่ยงนโยบายสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี มีความเสี่ยงที่ต้องจับตาคือ กรณีกระแสข่าวที่ออกมาว่า โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีนโยบายประกาศอัตราภาษีใหม่สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสินค้าเทคโนโลยีที่มีการปรับเพิ่มขึ้นภาษีมาก่อนหน้านี้แล้ว
อีกทั้งในรอบนี้สหรัฐฯ มีนโยบายที่จะปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มการแพทย์ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ส่วนหนึ่งสหรัฐฯ มีการผลิตเองในประเทศได้ ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นกลุ่มสินค้าที่มีความสำคัญต่อการนำเข้าของสหรัฐฯ จึงคาดว่าจะไม่ได้มีผลกระทบมากนักในสินค้ากลุ่มนี้
ทั้งนี้ ประเมินว่าความเสี่ยงจากประเด็นนโยบายการเก็บภาษีดังกล่าวนี้จะยังไม่ส่งผลกระทบมากนักต่อตลาดหุ้นจีน เพราะมองว่าการดำเนินการเป็นนโยบายเพื่อใช้หาเสียงของ โจ ไบเดน ที่กำลังเข้าสู่ฤดูกาลเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่สหรัฐฯ ในช่วงปลายปีนี้
อย่างไรก็ดี ประเมินว่าในช่วงของการแข่งขันหาเสียงระหว่าง โจ ไบเดน และ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจมีการพูดถึงนโยบายที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นจีนออกมาเพิ่มบ้าง แต่ปัจจุบันจีนเริ่มมีการทยอยปรับตัวกระจายออกไปสร้างฐานรายได้ใหม่ๆ โดยลดการพึ่งพิงแหล่งรายได้จากสหรัฐฯ ลงอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ตลาดหุ้นจีนอาจได้รับผลกระทบและกดดันบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นทำให้ตลาดหุ้นจีนหมดความน่าสนใจในการลงทุน
แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นจีน
รุ่งโรจน์กล่าวต่อว่า มีมุมมองว่าตลาดหุ้นจีนในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้ยังสามารถลงทุนได้ โดยนักลงทุนที่ถือหุ้นจีนอยู่แล้วมีคำแนะนำให้ทยอยเข้าซื้อเฉลี่ยในจังหวะที่ราคาหุ้นย่อตัว
ทั้งนี้ การลงทุนให้เน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่ม H-Share เป็นหลัก โดยมีกองทุนแนะนำคือ กองทุน SCB China Equity THB Hedge (SCBCEH) ซึ่งลงทุนหุ้นจีน H-Shares ที่ประโยชน์จากการฟื้นตัวจากการดำเนินการกระตุ้นของทางการจีน อีกทั้งมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากนอกประเทศจีนเป็นหลัก
สำหรับทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในปีนี้ประเมินว่ายังมีโอกาสปรับลดลงได้ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยของไทยถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับตัวเลขอัตราเงินเฟ้อปัจจุบัน ขณะที่เศรษฐกิจของไทยมีทิศทางการเติบโตที่ชะลอลง อีกทั้งค่าเงินบาทมีแนวโน้มออกค่าจากความเชื่อมั่นของต่างชาติที่ลดลง แต่ถือเป็นผลดีกับภาคส่งออก
ดังนั้นประเมินว่าด้วยปัจจัยดังกล่าว ธปท. น่าจะยังคงดอกเบี้ยไปอีกสักระยะ ขณะที่มองว่า ด้วยภาวะปัจจุบันการกระตุ้นเศรษฐกิจยังมีความจำเป็นใช้นโยบายทางการเงินเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นด้วย
ขณะที่หากพิจารณาข้อมูลอัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) ของพันธบัตรรัฐบาลของแต่ละประเทศในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ พบว่า Real Yield ไทยอยู่ที่ 2.58% ถือเป็นตัวเลขสูงสุดเมื่อเทียบกับทั้งของสหรัฐฯ และยุโรป
โดยจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงของไทยปัจจุบันจึงมองว่า การลงทุนในตราสารหนี้ไทยมีความน่าสนใจและโดดเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยสามารถลงทุนซื้อได้ทั้งหุ้นกู้รายตัว โดยเน้นกลุ่ม Investment Grade ที่มีอันดับที่สูง เพื่อสร้างความมั่นใจในการลงทุนในระยะยาว
ด้านการลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้ แนะนำกองทุน SCB Dynamic Bond (SCBDBOND(A)) ซึ่งผู้จัดการจะมีการปรับเปลี่ยนจังหวะการลงทุนตามระยะเวลาที่เหมาะสม โดยปัจจุบันกองทุนมีการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย 4 ปี แม้ว่าระหว่างทางการลงทุนจะเห็นความผันผวนที่สูงบ้าง แต่เป็นโอกาสการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ชมคลิป: ตลาดหุ้นจีน ฟื้นจริงหรือไม่ Rising China กลับมาแล้วหรือยัง
- ‘9 ปฏิรูป’ แห่งทศวรรษใหม่ของ ตลาดหุ้นจีน