ธนาคารไทยพาณิชย์จับมือกับ บลจ.ทิสโก้ เปิดขายกองทุน Target Return Fund ลุยลงทุนหุ้นไทย มองราคาถูกเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้น และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะต่อไป
รุ่งโรจน์ เสกสรรค์วิริยะ ผู้อำนวยการอาวุโส Investment Product Selection and Partnership ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ธนาคารไทยพาณิชย์เปิดตัวแนวคิดการลงทุนรูปแบบใหม่ ‘No Gain No Pay’ โดยกองทุนรวมที่ตั้งขึ้นมานี้จะไม่คิดค่าธรรมเนียมการขาย (Front-End Fee) และยังถือเป็นครั้งแรกที่จะไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการ (Management Fee) หากมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และจะคิดค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน (Back-End Fee) ในภายหลัง ซึ่งมีความยุติธรรม โดยจะเก็บก็ต่อเมื่อกองทุนมีกำไรหรือทำได้ตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำว่าธนาคารยึดผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นตัวตั้ง โดยดูแลลูกค้าเป็นแบบ Thought Partnership และสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับนักลงทุน
SCB WEALTH เปิดกว้างเป็น Partnership กับทุกที่ ภายใต้หลักการของ Open Architecture โดยล่าสุดได้ร่วมมือกับ บลจ.ทิสโก้ เพื่อพัฒนากองทุนเปิดทิสโก้ ทาร์เก็ต 8M1 (TTARGET8M1) ซึ่งเป็นกองทุนรวมประเภท Target Fund โดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ ซึ่งธนาคารไทยพาณิชย์เป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียว โดยจะเปิดขาย IPO ระหว่างวันที่ 14-28 สิงหาคม 2567 เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาทขึ้นไป มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท
TTARGET8M1 เน้นลงทุนหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สิน
สำหรับกองทุน TTARGET8M1 มีนโยบายลงทุนในการมุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นไทยโดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยรวมถึงตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ โดยคัดเลือกการลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความยั่งยืนการลงทุนในระยะยาว และมีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจที่ดี โดยจะมีการตั้งเป้าหมายกำหนดผลตอบแทนการลงทุน (Target Return) ไว้ที่ประมาณ 8%
สำหรับการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน บริษัทจัดการจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดของผู้ถือหน่วยลงทุนแต่ละรายโดยอัตโนมัติภายใน 5 วันทำการนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่เกิดเหตุการณ์ตามเงื่อนไขการเลิกกองทุนเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง ดังนี้
– ภายในระยะเวลา 8 เดือนนับตั้งแต่วันถัดจากวันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม เมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.82 บาท หรือให้ผลตอบแทนประมาณ 8%
– ณ วันทำการใด หรือเป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกันขึ้นไป กองนี้จะไถ่ถอนคืนกลับคืนด้วยมูลค่า โดยซื้อคืนโดยอัตโนมัติได้ไม่ต่ำกว่า 10.60 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ หากหน่วยลงทุนมีมูลค่าไม่เป็นไปตามเป้าหมายภายในระยะเวลา 8 เดือนนับตั้งแต่วันถัดจากวันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม ผู้ลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ และเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.30 บาท ณ วันทำการใด หรือเป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกันขึ้นไป ก็จะมีการปิดกองทุน โดยรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติได้ไม่ต่ำกว่า 10.20 บาทต่อหน่วย
โดยบริษัทจัดการจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน 2% ก็ต่อเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนถึงเป้าหมายที่ราคาไม่ต่ำกว่า 10.82 บาทต่อหน่วย ติดต่อกัน 3 วันภายในระยะเวลาที่กำหนด 8 เดือน แต่หากหลังครบระยะเวลา 8 เดือน บริษัทจัดการจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนก็ต่อเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 10.10 บาทต่อหน่วย ในอัตรา 0.5% และหากมูลค่าหน่วยลงทุนต่ำกว่า 10.10 บาทต่อหน่วย จะไม่คิดค่าธรรมเนียมบริหารจัดการและรับซื้อคืน
เงื่อนไขการ Trigger ของกองทุน
สำหรับสาเหตุที่กองทุน TTARGET8M1 เน้นการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากพิจารณาคัดเลือกแล้วพบว่ามีมูลค่าหุ้นที่ถูกที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจัยพื้นฐานปัจจุบัน จึงมองเป็นจังหวะและโอกาสในการเข้าลงทุนในระดับดัชนีหุ้นที่ประมาณ 1,290-1,300 จุด ถือเป็นระดับราคาที่ถูกกว่าช่วงโควิดที่ดัชนีหุ้นปรับตัวลดลงไปที่ระดับ 1,400 จุด ขณะที่กำไรต่อหุ้น (EPS) ปัจจุบันของตลาดหุ้นยังอยู่ในระดับสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงที่มีสถานการณ์โควิดแพร่ระบาด
ดังนั้นมองว่าการตั้งกองทุน Target Return Fund จึงเป็นโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะต่อไป อีกทั้งยังมีปัจจัยสนับสนุนจากที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงฤดูการลดหย่อนภาษี โดยในปีนี้มีปัจจัยบวกจากกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนจากกองทุน ThaiESG ที่มีเงื่อนไขใหม่ ซึ่งสามารถให้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 3 แสนล้านบาท ส่งผลให้มีโอกาสเพิ่มดีมานด์การลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น
อีกทั้งในช่วงปลายปี 2567 จะมีการกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกเพิ่มเติมมาช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในตลาดหุ้นให้มีเพิ่มขึ้น
เปิด 3 ปัจจัยบวกหลักดันหุ้นไทยฟื้น
นอกจากนี้จากปัจจุบันถึงช่วงสิ้นปี 2567 จะยังมีข้อมูลเชิงบวกที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจไทย และการลงทุนที่จะสนับสนุนให้มูลค่าหน่วยลงทุนเติบโตไปถึงเป้าหมายที่ 8% ภายในระยะเวลา 8 เดือน มีดังนี้
- คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและภาวะเงินเฟ้อที่ต่ำ ซึ่งจากสถิติในอดีต หลัง กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบาย ตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวขึ้น ขณะที่หุ้นขนาดกลางและเล็กจะได้อานิสงส์ด้านผลประกอบการและงบดุลที่แข็งแกร่งขึ้นจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง
นโยบายรัฐบาลหนุนตลาดหุ้นไทย
- โครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะส่งผลบวกในหุ้นภาคการบริโภคช่วงปลายปีนี้ หลังจากที่กระทรวงการคลังเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ตตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา และให้ร้านค้าลงทะเบียนในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ คาดว่าโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการบริโภคในช่วงไตรมาส 4/67 ได้ ช่วยหนุนผลประกอบการหุ้นที่เกี่ยวกับภาคการบริโภค เช่น กลุ่มค้าปลีกและกลุ่มอาหาร
- กองทุน ThaiESG เงื่อนไขใหม่ และการกลับมาของกองทุนวายุภักษ์ โดย ครม. ได้อนุมัติเกณฑ์ใหม่กองทุน ThaiESG ให้ผู้ซื้อลดหย่อนภาษีได้สูงสุดเพิ่มเป็นไม่เกิน 3 แสนบาท และลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปีนับจากวันที่ลงทุน พร้อมขยายขอบเขตการลงทุนให้ครอบคลุมเพิ่มเติมด้านธรรมาภิบาล ส่งผลให้ครอบคลุมหุ้นในดัชนี SET / mai เพิ่มขึ้น บวกกับแผนการนำกองทุนวายุภักษ์กลับมาโดยปรับเกณฑ์ใหม่ และคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนกันยายน ซึ่งจะช่วยหนุนเงินทุนให้ไหลเข้าตลาดหุ้นไทย
นอกจากนี้ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยหักลบด้วยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปี (Earning Yield Gap) ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า อยู่ในระดับที่น่าสนใจที่ประมาณ 4.5% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง และมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในอนาคต เนื่องจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยมีแนวโน้มปรับตัวลง ขณะที่ผลประกอบการของดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มถูกปรับประมาณการดีขึ้นในระยะถัดไป จากแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตที่คาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น
ส่วนค่าเงินบาทมีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้นในช่วงปลายปีนี้ จากแนวโน้มที่ Fed จะลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนและเดือนธันวาคมนี้ ประกอบกับดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัว โดยเฉพาะช่วงปลายปีที่เข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนเงินทุนไหลเข้า ประกอบกับ Valuation ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังไม่แพง
ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเติบโตมองว่า กำไรต่อหุ้น (EPS) ของดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มเติบโตตามเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะเติบโตเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่เร่งตัวและภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะที่ผลสำรวจนักวิเคราะห์จาก Bloomberg Consensus ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2567 คาดการณ์ว่า EPS ของดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะเติบโตประมาณ 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนในเชิง Valuation ของดัชนี ก็ถือว่าซื้อ-ขายในระดับที่ไม่แพง โดยราคาต่อกำไรต่อหุ้นในระยะ 12 เดือนข้างหน้า (Forward P/E) อยู่ที่ 13.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง
ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถสังเกตจากสัญลักษณ์ No Gain No Pay ถ้ามีสัญลักษณ์นี้แสดงว่ามีเงื่อนไขการลงทุนที่จะไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม หากผลตอบแทนการลงทุนไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ โดยนักลงทุนที่สนใจสามารถซื้อผ่านช่องทางสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขา หรือที่แอปพลิเคชัน SCB EASY App