กลุ่มไทยพาณิชย์ (SCB Group) ประกาศจัดตั้งบริษัทแม่ใหม่ภายใต้ชื่อ SCBX (เอสซีบี เอกซ์) เพื่อเร่งขยายธุรกิจเชิงรุกเข้าสู่ธุรกิจการเงินและแพลตฟอร์มอย่างเต็มรูปแบบ ยกระดับสู่การเป็นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงินระดับภูมิภาคภายในปี 2025 โดยมีเป้าหมายสร้างฐานลูกค้าสองร้อยล้านคนพร้อมภารกิจเชื่อมต่ออีโคซิสเต็มทั้งในและต่างประเทศ
อาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ปี 2025 การมาถึงของ Decentralized Finance (DeFi) Technology การขยายตัวและการบุกของแพลตฟอร์มระดับโลกเข้าสู่ธุรกิจการเงิน พฤติกรรมของผู้บริโภคหลังโควิด (Post-COVID) รวมถึงกฎระเบียบข้อบังคับที่เปลี่ยนไปอย่างมาก จะทำให้รูปแบบการทำธุรกิจ (Business Model) ในแบบ Intermediaries หรือการเป็นตัวกลางเก็บค่าธรรมเนียมของธนาคารแบบดั้งเดิมจะลดบทบาทลง เพราะจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการและความคาดหวังใหม่ของผู้บริโภคได้ ความสำคัญของธนาคารต่อผู้บริโภคจะลดลงและจะส่งผลลบต่อการให้มูลค่าอนาคตของนักลงทุนต่อธุรกิจธนาคารแบบดั้งเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“แนวโน้มของการถูกดิสรัปต์นั้นเริ่มมาเมื่อ 6 ปีก่อน และชัดเจนมากในอีก 3 ปีข้างหน้า SCB ได้ตั้งโจทย์และเพิ่มศักยภาพตัวเองมาโดยตลอด และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่สำคัญที่สุดในการตั้งคำถามแห่งอนาคตว่าในช่วงเวลา 3 ปีจากนี้ที่เข้มข้นที่สุด SCB จะต้องแปลงสภาพตัวเองอย่างไรจึงจะสามารถสร้างคุณค่าใหม่ให้กับผู้ถือหุ้นและผู้บริโภค รวมถึงสามารถเติบโตไปกับโลกใหม่ได้ SCB จึงจะต้องไม่จำกัดตัวเองอยู่ที่ธุรกิจธนาคารแบบดั้งเดิมอีกต่อไป หากแต่ต้องใช้ความเข้มแข็งทางการเงินของธุรกิจธนาคารปัจจุบันให้เป็นประโยชน์ เร่งขยายธุรกิจเชิงรุกเข้าสู่ธุรกิจการเงินประเภทอื่นที่ตลาดต้องการ และสร้างขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยี รวมถึงการบริหารจัดการแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยี (Technology Platform) ขนาดใหญ่ให้ทัดเทียมกับคู่แข่งระดับโลก เข้าสู่สนามการแข่งขันแบบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยเร็วเพื่อที่จะอยู่รอดปลอดภัยในอีก 3-5 ปีข้างหน้านี้” อาทิตย์กล่าว
อาทิตย์ระบุว่า SCB จะทำเรื่องขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นสำหรับการจัดตั้ง SCBX เป็นบริษัทจดทะเบียน และทำการโอนแลกหุ้น หรือ Share Swap จาก SCB มาเป็น SCBX ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของธนาคารในเดือนพฤศจิกายน โดยหากได้รับการโหวตอนุมัติจากผู้ถือหุ้นก็จะ Delist ธนาคารไทยพาณิชย์ออกจากตลาด เนื่องจากธุรกิจธนาคารจะถูกโยกมาอยู่ภายใต้ยานแม่คือ SCBX
นอกจากนี้ธนาคารจะขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นกรณีพิเศษจำนวน 7 หมื่นล้านบาท ซึ่ง 70% ของเงินจำนวนนี้จะถูกนำไปจัดตั้งบริษัทใหม่ โอนธุรกิจ ส่วนที่เหลืออีก 30% จะเก็บไว้เป็น Working Cap ของ SCBX และจะเก็บไว้จ่ายปันผลให้ผู้ถือตามฤดูกาลปกติในช่วงกลางปีหน้า
“SCB จะไม่เท่ากับธนาคารในความหมายเดิมอีก แต่จะแปลงสภาพกลายเป็นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงินที่มีธุรกิจธนาคารที่แข็งแรงขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และจะขยายเข้าสู่ธุรกิจการเงินส่วนบุคคลที่มีการเติบโตสูงที่ธนาคารไม่สามารถตอบสนองได้ โดยแต่ละธุรกิจ SCB จะร่วมมือกับพันธมิตรระดับประเทศและระดับภูมิภาคที่แข็งแกร่งที่จะเริ่มเปิดตัวในอนาคตอันใกล้นี้” อาทิตย์กล่าว
นอกจากการขยายเข้าสู่ธุรกิจการเงินส่วนบุคคลแล้ว SCB จะต้องยกระดับขีดความสามารถของกลุ่มในการสร้างและบริหารจัดการแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Technology Platform) หลังจากนำร่องด้วย ‘Robinhood Food Delivery’ เป็นโครงการแรก เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันกับแพลตฟอร์มระดับโลก และได้สร้างขีดความสามารถของบุคลากรด้านเทคโนโลยี โดยเริ่มจากการก่อตั้งบริษัท ‘SCB Tech X’ และบริษัท ‘Data X’ ร่วมกับพันธมิตรระดับโลก เพื่อสร้างขีดความสามารถพื้นฐานด้านเทคโนโลยีภายในที่จะสามารถสร้างและ Scale Platform ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
นอกจากนั้น SCB จะขยายเข้าสู่ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Business) ในระดับโลกเพื่อเข้าสู่โลกการเงินแห่งอนาคตผ่าน SCB 10X และ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) โดยการร่วมลงทุนและเป็นพันธมิตรกองทุนระดับโลก และการพัฒนาธุรกิจ Digital Asset ด้านต่างๆ ใน Business Model ใหม่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มในระยะยาว
“ภายใต้โมเดลธุรกิจใหม่ SCBX จะแบ่งธุรกิจออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ กลุ่มที่เป็น Cash Cow เดิม เช่น ธนาคาร และกลุ่ม Growth ที่มุ่งเน้นทำธุรกิจ Blue Ocean โดยจะมีการ Spinoff ธุรกิจที่เคยอยู่ภายใต้ธนาคารหลายๆ อย่างออกมา เช่น ธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลจะแยกออกมาเป็นบริษัท CARD X ธุรกรรมสินเชื่อเช่าซื้อจะแยกออกมาเป็นบริษัท AUTO X” อาทิตย์กล่าว
อาทิตย์ระบุว่า ความคาดหวังของ SCB ในปี 2025 คือ การสามารถสร้างมูลค่าของบริษัทจากธุรกิจใหม่ให้มีขนาดที่มีนัยยสำคัญนอกเหนือจากผลกำไรพื้นฐานและความมั่นคงของธุรกิจธนาคารหลัก ซึ่งรวมถึงการสร้างฐานลูกค้าในระบบให้ได้ถึง 200 ล้านคน การขยายธุรกิจใหม่ออกสู่ต่างประเทศ และการเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยี (Technology Platform) ขนาดใหญ่ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก
“ถ้าเราทำสำเร็จได้ตามแผนที่วางไว้ภายใน 2-3 ปี Quality Earning ของเราน่าจะเพิ่มขึ้น 1.5-2 เท่า ขณะที่ Market Cap จะขึ้นไปถึง 1 ล้านล้านบาทภายใน 5 ปี” อาทิตย์กล่าว