มูลค่าการส่งออกเดือนมิถุนายน 2021 ขยายตัวถึง 43.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) นับเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงสุดในรอบ 11 ปี และหากหักทองคำ การส่งออกจะขยายตัว 43.4%YoY ทำให้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2021 มูลค่าการส่งออกขยายตัวที่ 15.5%YoY และหากไม่รวมทองคำ การส่งออกจะเติบโตถึง 22.4%YoY
สำหรับประเภทสินค้าส่งออก พบว่าขยายตัวในทุกประเภท โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัวสูง เช่น รถยนต์และส่วนประกอบ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ผลิตภัณฑ์ยาง เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติก
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและธุรกิจ (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ระบุว่า การส่งออกเดือนมิถุนายน 2021 ที่ขยายตัวสูง เป็นไปตามการค้าโลกที่ปรับเพิ่มต่อเนื่อง และปัจจัยฐานต่ำ สอดคล้องกับตัวเลขส่งออกของหลายประเทศทั่วโลก
จากข้อมูลพบว่า นอกจากฐานต่ำแล้ว การส่งออกไทยยังปรับขึ้นอย่างแข็งแกร่ง สะท้อนจากมูลค่าส่งออกที่อยู่สูงกว่าระดับของปี 2019 ซึ่งเป็นปีก่อนการระบาดของโควิด และหากพิจารณาการเติบโตแบบเทียบกับเดือนก่อนหน้าแบบปรับฤดูกาล (MoM_sa) ก็พบว่า การส่งออกของไทยกลับมาขยายตัวเล็กน้อยที่ 2.4% ซึ่งการขยายตัวดังกล่าวเป็นไปตามทิศทางการค้าโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนจากมูลค่าส่งออกของหลายประเทศส่งออกสำคัญของโลก ล้วนมีอัตราเติบโตสูงมากในช่วงเดือนมิถุนายน
EIC ประเมินว่า ระยะต่อไปการส่งออกยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แต่ต้องติดตามความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบการระบาดในประเทศอาเซียน และปัญหา Supply Disruption ที่อาจเกิดขึ้น โดยแม้จะมีการระบาดของสายพันธุ์เดลตาเกิดขึ้นทั่วโลก แต่ Global PMI Export Orders ก็ยังอยู่ในระดับเกิน 50 สะท้อนว่าการส่งออกยังขยายตัวได้ต่อเนื่องในระยะสั้น
อย่างไรก็ดี การระบาดที่กลับมาอีกครั้งได้ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประเทศกำลังพัฒนามากกว่า เนื่องจากมีความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนที่ไม่สูงนัก สะท้อนจาก Manufacturing PMI ของประเทศพัฒนาแล้วที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ของประเทศกำลังพัฒนามีแนวโน้มลดลง จึงเป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตาม โดยเฉพาะการระบาดในอาเซียนซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกไทยจากอุปสงค์ที่ลดลง หรือปัญหา Supply Chain Disruption ที่อาจเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ในส่วนของไทยเองก็มีความเสี่ยงด้าน Supply Disruption ที่เกิดจากการปิดโรงงาน โดยเท่าที่ EIC ได้ติดตามสถานการณ์ พบว่ามีการปิดโรงงานหลายแห่งในช่วงที่ผ่านมา แต่ส่วนใหญ่เป็นการปิดเพียงชั่วคราวเท่านั้น ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตในภาพรวม แต่หากการระบาดส่งผลทำให้โรงงานต้องปิดตัวมากหรือนานขึ้น ก็จะเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อการผลิตเพื่อส่งออกในระยะข้างหน้า
สำหรับปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) ก็ยังเป็นปัจจัยกดดันต่อเนื่อง โดยปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ได้ปรับตัวแย่ลงอีกในช่วงหลังจากผลกระทบของการระบาดระลอกใหม่ทางตอนใต้ของจีนในเดือนพฤษภาคม 2021 ซึ่งถึงแม้ว่าจะควบคุมการระบาดได้แล้ว แต่ก็ทำให้เกิดความล่าช้าในการบริหารจัดการสินค้าของท่าเรือเหยียนเถียนและท่าเรือกว่างโจว สะท้อนจากราคาระวางเรือ (Freight) และระยะเวลาการขนส่งสินค้าที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ปัญหาการขาดแคลนชิปได้ส่งผลกระทบต่อหลายอุตสาหกรรม เช่น โทรศัพท์มือถือ เครื่องเกม และอุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นต้น โดยปัญหาดังกล่าวจะยังเป็นปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยกดดันต่อเนื่องต่อภาคการส่งออกของไทยและโลกในช่วงที่เหลือของปีนี้