SCB CIO วิเคราะห์เชิงลึกนโยบายของ 2 ผู้ท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยได้ข้อสรุปว่านโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ดูดีกว่าในหลายๆ มิติ โดยเฉพาะนโยบายลดภาษีนิติบุคคล ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือนในประเทศได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในศึกนี้ ‘เอเชีย’ ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบจาก Trade War ได้
เกษรี อายุตตะกะ, CFP® ผู้อำนวยการกลยุทธ์การลงทุน SCB Chief Investment Office ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่าเมื่อเปรียบเทียบนโยบายของ 2 ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แล้วพบว่า โดนัลด์ ทรัมป์ มีภาษีที่ดีกว่า โจ ไบเดน อยู่ในหลายนโยบาย
โดยเริ่มประเมินจากนโยบายทางการคลัง ทรัมป์นั้นจะเน้นนโยบายลดอัตราภาษีเป็นหลัก โดยเฉพาะภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ทรัมป์มีแนวโน้มที่จะยืดระยะเวลาการลดอัตราภาษีออกไป ขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มว่าทรัมป์จะคงอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเอาไว้ที่ 21%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- วิเคราะห์นโยบาย Biden vs. Trump ต่อเศรษฐกิจและการลงทุน | THE STANDARD WEALTH
- SCB CIO คาด การเลือกตั้งอินเดียระยะสั้น เสี่ยงทำตลาดหุ้นผันผวนหนัก คาดพรรค BJP คว้าชัยเป็นรัฐบาลสมัยที่ 3
ในทางตรงกันข้าม นโยบายของ โจ ไบเดน จะไม่เน้นลดภาษี แต่เน้นลดการใช้จ่ายภาครัฐมากกว่า สิ่งที่น่ากังวลคือถ้ามาตรการภาษีหมดลงก็ไม่น่าจะต่ออายุ และมีแนวโน้มการปรับขึ้นภาษีคนรวยอีกด้วย
สำหรับนโยบายต่อจีน เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่เป็นปฏิปักษ์ต่อจีน โดยเฉพาะการค้าและอุตสาหกรรม โดยทรัมป์จะเน้นภาษีนำเข้าเป็นหลัก เน้นการตัดสัมพันธ์การค้ากับจีน เน้นเก็บภาษีนำเข้ามากกว่า 60% ยกเลิกนำเข้าสินค้าต่างๆ เป็นต้น รวมถึงจะออกกฎใหม่เพื่อหยุดการลงทุนของบริษัทสหรัฐฯ ในจีน
ซึ่งค่อนข้างรุนแรงเมื่อเทียบกับนโยบายของ โจ ไบเดน ที่เน้นขึ้นภาษีเฉพาะที่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของจีน ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 18,000 ล้านดอลลาร์ รวมถึงอาจมีการขึ้นบัญชีดำสำหรับบริษัทจีน
ด้านนโยบายการเงิน หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งก็มีโอกาสไม่ต่ออายุประธาน Fed คนปัจจุบัน ซึ่งก็คือ เจอโรม พาวเวลล์ ที่จะถึงกำหนดพ้นตำแหน่งประมาณวันที่ 15 พฤษภาคม 2026 และทรัมป์อาจจะแต่งตั้งประธาน Fed คนใหม่ที่สนับสนุนการลดดอกเบี้ย ขณะเดียวกัน ทรัมป์ดูมีทีท่าของการลดข้อจำกัดภาคธนาคาร
ขณะที่ไบเดนนั้นจะสนับสนุน เจอโรม พาวเวลล์ และสนับสนุนนโยบายการเงินในปัจจุบันต่อไป
ด้านนโยบายพลังงาน โดนัลด์ ทรัมป์ จะสนับสนุนการขุดเจาะน้ำมันเพื่อให้มีซัพพลายน้ำมันเพิ่มขึ้น และยกเลิกนโยบาย IRA ซึ่งเป็นนโยบายที่ โจ ไบเดน สนับสนุน ส่วน โจ ไบเดน นั้นก็เป็นที่ชัดเจนว่าไม่สนับสนุนการขุดเจาะน้ำมัน
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาค
เกษรีกล่าวว่า ในภาพรวมของเศรษฐกิจนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ดูดีกว่า เพราะเน้นการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นการหนุนการบริโภคในประเทศ แต่ก็อาจทำร้ายการบริโภคสินค้าต่างประเทศ เพราะมีการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน อย่างไรก็ตาม ในภาคการลงทุนดูดี เพราะลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและอาจมีการปรับลดลงอีก ซึ่งทำให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้น
ขณะที่การใช้จ่ายการคลังของทรัมป์นั้นก็จะกระตุ้นด้วยการลดภาษีและออกบอนด์เพิ่ม อย่างไรก็ตาม การออกบอนด์เพิ่มอาจแตกต่างจากที่ทรัมป์เคยทำเมื่อครั้งที่นั่งตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 เพราะหนี้สาธารณะ ณ ขณะนั้นอยู่ที่ 77% ส่วนปัจจุบันหนี้สาธารณะสหรัฐฯ อยู่ที่ 99% จึงมีรูมจำกัด
ส่วนด้านการค้าระหว่างประเทศ ทรัมป์เสียเปรียบเพราะขึ้นภาษีนำเข้าเยอะ ทำให้ต้นทุนภาษีนำเข้าได้รับผลกระทบ
“ถ้าดูแล้วมาตรการของทรัมป์ดีกว่าในหลายๆ เรื่อง ยกเว้นการค้าที่มีการทำ Trade War ที่รุนแรงกว่า” เกษรีกล่าว
ผลกระทบต่อตลาดหุ้น
เกษรีกล่าวว่า ตามสถิติแล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะผันผวนมากขึ้นก่อนเลือกตั้ง และเมื่อผ่านเลือกตั้งไปความผันผวนจะลดลง และมีสถิติระบุว่าปีที่มีการเลือกตั้ง ผลตอบแทนจะต่ำกว่าปีที่ไม่มีการเลือกตั้งเพียงเล็กน้อย
ทั้งนี้ หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งจะเป็นมิตรกับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (บจ.) มากกว่า จากการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทำให้การใช้จ่ายดีขึ้น หนุนยอดขายธุรกิจ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องระวังคือความไม่แน่นอนของนโยบายที่เพิ่มขึ้นทำให้ตลาดหุ้นมี Risk Premium มากขึ้น
และสำหรับตลาดหุ้นเอเชีย เมื่อทรัมป์ชนะการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว หุ้นสหรัฐฯ ขึ้น แต่หุ้นเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) หุ้นจีน หุ้นเกาหลีใต้ ปรับลดลง ดังนั้นหากรอบนี้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง น่าจะทำให้ค่าเงินหยวน เงินวอน รวมถึงเงินบาท อ่อนค่า และทำให้เกิด Capital Outflow