นอกเหนือจากทำเลที่ตั้ง ดีไซน์ และนวัตกรรมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยแล้ว สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างในการตกลงปลงใจทุบกระปุกเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ของใครหลายต่อหลายคนน้ันคงจะหนีไม่พ้นเรื่อง ‘บริการหลังการขาย’ หรือ ‘After Sale Services’ ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หรือ Developer หลายต่อหลายราย ต่างชูประเด็นดังกล่าวมาเป็นจุดขาย ผลประโยชน์จึงตกอยู่กับผู้บริโภคอย่างเราเต็มๆ
แต่เมื่อพูดถึงบริการหลังการขายนั้นก็มีรายละเอียดต่างๆ ให้ต้องพิจารณากันให้ดี สำหรับคอลัมน์บ้านรู้ใจในครั้งนี้ THE STANDARD จึงรวบรวมลักษณะของโครงการชั้นดี ซึ่งผู้ประกอบการที่ใส่ใจได้พัฒนาขึ้นมา เพื่อสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นโครงการคุณภาพ ซึ่งหากใครที่กำลังอยู่ในระหว่างการเลือกซื้อ ก็น่าจะนำไปใช้เป็นหลักประกอบในการพิจารณาตัดสินใจกันดูสักนิด
1. บริการหลังการขายเพื่อการลงทุน
เพราะนอกจากจะซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยเองแล้ว การลงทุนอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมยังได้รับความนิยมจากคนในปัจจุบัน เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดี และมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้น สำหรับโครงการที่ดีนั้น นอกจากในแง่ของทำเลซึ่งการันตีได้ว่าจะมีผู้ที่สนใจต้องการซื้อต่อหรือเช่าแล้ว อีกอย่างที่รับรองได้ว่าผู้ลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์จะได้รับผลตอบแทนกลับมาก็คือ การที่ทางโครงการนั้นได้จัดเตรียมบริการหลังการขายด้านการลงทุน ตั้งแต่การฝากขาย-ปล่อยให้เช่า รวมไปถึงการให้คำปรึกษาในด้านการลงทุนแบบเป็นพิเศษ ในบางเจ้าอาจจะเลยไปถึงบริการอำนวยความสะดวกในด้านการย้ายเข้า-ย้ายออกเลยทีเดียว
2. นิติบุคคลและการรักษาความปลอดภัย
เรื่องของหน่วยงานกลางที่เจ้าของโครงการจ้างมาเพื่อจัดสรรดูแลส่วนกลางอย่าง ‘นิติบุคคล’ ก็เป็นอีกประเด็นสำคัญที่จะกำหนดถึงปริมาณความสุขของลูกบ้าน เพราะจะเป็นผู้บริหารความเป็นไปต่างๆ ภายในโครงการ และถ้าหากว่าการบริหารงานไม่ดีนั้นก็ย่อมมีเรื่องไม่ต้องใจรออยู่แน่ ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์สักแห่งควรทำการบ้านเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อยว่า โครงการที่เรากำลังมองอยู่นี้มีชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
อีกเรื่องสำคัญที่จะตามมาก็คือเรื่องนโยบายรักษาความปลอดภัย นอกจากมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว ยังมีมาตรการอื่นๆ นอกเหนือจากนี้อะไรอีกบ้าง เช่น มีเวรยามการตรวจตราอย่างไร มีกล้องวงจรปิดรักษาความปลอดภัย มีการนำเทคโนโลยีด้านการรักษาความปลอดภัยมาใช้ หรือมีแอปพลิเคชันอะไรที่นำมาใช้ เพื่อจะช่วยให้เรารู้สึกอุ่นใจได้อีกหรือเปล่า?
3. บริการหลังกายขายเพื่อการดูแลรักษาและซ่อมบำรุง
เพราะโครงการที่ดีไม่ใช่ว่าขายขาดแล้วก็ทอดทิ้งลูกบ้านเอาไว้โดยไม่ดูดำดูดี และคนที่ซื้อที่อยู่อาศัยไปก็ย่อมอยากจะอยู่ในบ้านที่ตัวเองซื้อโดยไม่ต้องกังวลว่า หากมีอะไรเกิดเสียหายชำรุดแล้วจะต้องทำอย่างไร จะมีช่างฝีมือดีที่ไหนที่ไว้ใจได้มาจัดการซ่อมแซมดูแลให้หรือเปล่า และช่างที่หามาล่ะ จะเป็นช่างที่ได้มาตรฐานหรือเปล่า ไม่ใช่ประเภทที่นัดไม่เป็นนัด หรือซ่อมไปได้สักพักแล้วก็กลับมาเสียใหม่ ให้เสียทั้งเงินและเวลาต้องหาช่างใหม่มาซ่อมอีก โครงการที่ดีและใส่ใจในเรื่องนี้ย่อมมีการบริหารจัดการงานซ่อมทั้งหมดในโครงการ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้าน ซึ่งจะได้ไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับปัญหาประเภทนี้
4. บริการหลังการขายเพื่อสร้างชุมชนน่าอยู่
ด้วยความที่เมื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์จากโครงการที่อยู่อาศัยนั้น เราไม่ได้มาแค่เพียงบ้านหลังเดี่ยวๆ แต่รวมไปถึงชุมชนด้วย ถ้าได้เพื่อนบ้านที่ดี และโครงการจัดสภาพแวดล้อมจนถึงกิจกรรมที่จะช่วยให้กลายเป็นชุมชนน่าอยู่อันแสนอบอุ่นและปลอดภัยได้ก็ดีไป แต่ลองนึกดูสิว่าถ้าสภาพแวดล้อมภายในโครงการไร้ระเบียบ นอกจากสภาพแวดล้อมไม่สะอาดแล้วยังเต็มไปด้วยความวุ่นวายไร้กฎเกณฑ์ แล้วจะอยู่กันสงบสุขได้อย่างไร แต่โครงการที่ดีย่อมคิดถึงเรื่องนี้ โดยเราสามารถพิจารณาได้จากการสอบถามถึงนโยบายดังกล่าวโดยตรงกับทางโครงการ ว่าที่ผ่านมามีการจัดกิจกรรมอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้บ้าง
บรรยากาศภายในงาน โครงการ ‘Farm Rak ปลูกผัก ปลูกเพื่อน’ กำเนิดมาจากแนวคิด Lively Neighbourhood ของ SC Asset
ทั้งหมดดังกล่าวคือหลักที่ควรใช้ในการพิจารณาก่อนจะตัดสินใจเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเราหวังว่าจะเป็นประโยชน์ทำให้คุณค้นพบที่อยู่อาศัยที่ดีและถูกใจ
- เพราะเล็งเห็นถึงความสำคัญของบ้าน และไม่ต้องการที่จะทอดทิ้งลูกค้า SC Asset จึงเปิดธุรกิจด้านบริการหลังการขายขึ้นมาภายใต้ชื่อบริษัท เอสซี เอเบิล จำกัด (SC Able Co., Ltd.) ซึ่งนอกจากจะช่วยดูแลในเรื่องบริการหลังการขายให้กับลูกบ้านแล้ว ยังก่อตั้ง SC Able Academy หรือสถาบันอบรมพัฒนาบุคลากรด้านช่างและทีมรักษาความปลอดภัย โดยสถาบันดังกล่าวจะช่วยตอบโจทย์ปัญหาการขาดแคลนช่างฝีมือ นับเป็นการช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของสังคมไทยด้วยการยกระดับช่างฝีมือในประเทศไทย ทั้งยังร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพรุ่นใหม่พัฒนาแอปพลิเคชันให้บริการช่าง และการบริการเกี่ยวกับบ้านอย่างครบวงจรภายใต้ชื่อ ‘Fixzy’ ซึ่งหากคุณประสบปัญหาและต้องการความช่วยเหลือจากช่างที่มีฝีมือได้มาตรฐาน ก็สามารถพึ่งพาแอปพลิเคชันดังกล่าวได้