เหลืออีกเพียงไม่กี่วันก็จะสิ้นสุดปี 2022 และย่างเข้าสู่ปีใหม่ 2023 อย่างเป็นทางการ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจเป็นประจำในช่วงส่งท้ายปีแบบนี้ก็คือการทำนายทายทักแนวโน้มความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า เพื่อให้เตรียมตัวเตรียมใจตั้งรับได้ทัน
ทั้งนี้ หนึ่งในเจ้าประจำที่ออกรายงานคำทำนายอนาคตอยู่เสมอก็คือ Saxo Bank แต่ข้อแตกต่างที่โดดเด่นของคำทำนายของ Saxo Bank อยู่ที่การทำนายทายทักของธนาคารค่อนข้างจะเป็นคำทำนายที่อุกอาจสุดโต่ง คือต่อให้มีโอกาสเกิดขึ้น แต่ความเป็นไปได้ก็น้อยเหลือเกิน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- คัด 10 หุ้นราคาต่ำ 10 บาท P/E ต่ำ ปันผลสูง ราคา YTD ยังบวก
- ทองคำ กำลังไหลเข้าเอเชีย ท่ามกลางดอกเบี้ยโลกที่กำลังขึ้นต่อเนื่อง
- เงินบาทอ่อนค่าทะลุ 37 บาทต่อดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อย ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 16 ปี
สำหรับรายงานประจำปีของธนาคารเดนมาร์กแห่งนี้ ซึ่งเผยแพร่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเปลี่ยนเข้าสู่โหมด War Economy หรือเศรษฐกิจสงคราม ซึ่ง “ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศกับการพึ่งพาตนเองจะมีความสำคัญกว่าระบบโลกาภิวัตน์ที่นานาประเทศต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน”
รายงานระบุว่า การคาดการณ์ฉบับนี้แม้ว่าจะไม่ได้เป็นตัวแทนของมุมมองอย่างเป็นทางการของธนาคาร แต่ก็ฉายภาพว่าการตัดสินใจของผู้กำหนดนโยบายในปีหน้าอาจส่งผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจโลกและวาระทางการเมืองอย่างไรบ้าง
สำหรับการคาดการณ์แรกสุดก็คือราคาทองคำมีสิทธิ์พุ่งแตะ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์
Ole Hansen หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ของ Saxo ทำนายว่าราคาทองคำ Spot อาจพุ่งเกิน 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปี 2023 ซึ่งสูงกว่าราคาปัจจุบันที่ 1,797 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 67%
รายงานได้ระบุปัจจัย 3 ประการที่คาดว่าจะผลักดันให้ราคาทองคำพุ่ง คือความคิดว่าสงครามเศรษฐกิจจะทวีความดุเดือดจนทำให้ทองคำน่าดึงดูดมากกว่าทุนสำรองต่างประเทศ ต่อมาก็คือการลงทุนขนาดใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับด้านความมั่นคงปลอดภัยของประเทศเป็นหลัก และการมุ่งเพิ่มสภาพคล่องทั่วโลกเนื่องจากผู้กำหนดนโยบายพยายามหลีกเลี่ยงปัญหาหนี้สินจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ด้าน Steen Jakobsen หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนของ Saxo กล่าวว่า ไม่แปลกใจเลยที่จะเห็นสินค้าโภคภัณฑ์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกครั้ง โดยเฉพาะความต้องการทองคำที่จะขยับพุ่งขึ้นอย่างแรก เนื่องจากยังไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่าการลงทุนในทองคำ ดังนั้นในมุมมองของ Jakobsen ไม่ว่าอย่างไรราคาทองคำก็มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้นักวิเคราะห์อีกหลายสำนักจะคาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่าราคาทองคำจะเพิ่มขึ้นในปี 2023 แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นตรงกันว่า เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากที่ราคาทองคำจะพุ่งแตะ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์
Kirill Kirilenko นักวิเคราะห์อาวุโสของ CRU บริษัทข่าวกรองสินค้าโภคภัณฑ์ระดับโลก ระบุว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มจะทรงตัวอยู่ในระดับที่สูง โดยอธิบายว่านโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่มีแนวโน้มจะผ่อนคลายความเข้มงวดมากขึ้น จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาทองคำและพลังงานกลับมาได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยราคาทองคำมีโอกาสขยับแตะ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์
อย่างไรก็ตาม Kirilenko ย้ำว่า แนวโน้มราคาทองคำทั้งหมดขึ้นอยู่กับความเคลื่อนไหวของ Fed เป็นหลัก ดังนั้นคำใบ้ใดๆ ก็ตามของ Fed ที่สื่อว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะยังคงเป็นปัจจัยกดราคาทองให้ลดต่ำลง
ขณะที่การคาดการณ์สุดโต่งประการต่อมาของ Saxo Bank ก็คือการประเมินว่าจะมีการลงประชามติเกี่ยวกับ Brexit อีกครั้ง แต่คราวนี้ชาวอังกฤษแดนผู้ดีทั้งหลายจะพร้อมใจกันโหวตยกเลิก Brexit อย่างถล่มทลาย โดย Jakobsen ระบุว่า การโหวตยกเลิก Brexit มีความเป็นไปได้อย่างมาก
ทั้งนี้ Jessica Amir นักยุทธศาสตร์การตลาดของ Saxo กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี Rishi Sunak ของอังกฤษ และ Jeremy Hunt รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเขาอาจทำให้คะแนนพรรคอนุรักษนิยมลดต่ำฮวบลงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เนื่องจาก “มาตรการทางการคลังแบบเข้มงวดขั้นสุดที่ส่งผลให้เศรษฐกิจอังกฤษเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง
Saxo คาดการณ์ว่า สิ่งนี้อาจกระตุ้นให้ประชาชนชาวอังกฤษและชาวเวลส์คิดใหม่เกี่ยวกับการลงคะแนนเสียง Brexit โดยมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งอายุน้อยเป็นผู้นำ และบีบให้นายกรัฐมนตรี Sunak จัดการเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้ง
Amir จาก Saxo กล่าวว่า พรรคแรงงานฝ่ายค้านอาจชนะการเลือกตั้ง และสัญญาว่าจะมีการลงประชามติเพื่อยกเลิก Brexit ในวันที่ 1 พฤศจิกายน โดยผู้ที่โหวตสนับสนุน Brexit ครั้งที่แล้วจะหันมาสนับสนุน Vote No กันมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม Anand Menon ผู้อำนวยการของ Think Tank UK กลับมองว่าไม่น่าจะมีการลงประชามติใดๆ อีก แม้ว่าการวิจัยที่ดำเนินการโดย YouGov ในเดือนพฤศจิกายนจะพบว่า 59% ของผู้ตอบแบบสำรวจ 6,174 คนคิดว่า Brexit ผ่านพ้นไปอย่าง ‘แย่พอสมควร’ หรือ ‘แย่มาก’ ตั้งแต่สิ้นปี 2020 ในขณะที่มีเพียง 2% เท่านั้นที่กล่าวว่า ‘ผ่านพ้นไปด้วยดี’ และความคิดที่ว่าหัวหน้าพรรคแรงงานจะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก
การผลิตเนื้อสัตว์เป็นสิ่งต้องห้าม โดยเหตุผลเป็นผลมาจากวิจัยที่ชี้ว่าเนื้อสัตว์มีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 57% ทำให้นานาประเทศที่ตั้งเป้าที่จะลดคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2050 มีความเป็นไปได้ที่จะออกมาตรการลดการผลิตเนื้อสัตว์ทั้งหมดหรือยกเลิกไปเลย
ทั้งนี้ Charu Chanana นักกลยุทธ์การตลาดของ Saxo กล่าวว่า ประเทศหนึ่งอาจ “ต้องการนำหน้าผู้อื่น” เกี่ยวกับข้อมูลรับรองสภาพภูมิอากาศของตน จึงอาจตัดสินใจเก็บภาษีเนื้อสัตว์อย่างหนักตั้งแต่ปี 2025 และสามารถห้ามไม่ให้มีการผลิตเนื้อสัตว์จากสัตว์ที่มีชีวิตในประเทศทั้งหมดภายในปี 2030
นอกจากนี้ Chanana ยังกล่าวอีกว่า ตนเองจะไม่รู้สึกแปลกใจเลยหากจะเห็นโรงเรียนในเดนมาร์กและสวีเดนห้ามกินเนื้อพร้อมกัน ขณะที่ประเทศที่ให้คำมั่นจะ Net Zero อย่างอังกฤษ EU ญี่ปุ่น และแคนาดา ก็มีโอกาสแบนการผลิตเนื้อสัตว์จากสัตว์ที่มีชีวิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม กรมสิ่งแวดล้อม อาหาร และการเกษตร ในชนบทของสหราชอาณาจักรกล่าวว่ายัง “ไม่มีแผน” ที่จะเสนอภาษีเนื้อสัตว์หรือห้ามการผลิตเนื้อสัตว์แต่อย่างใด
นอกเหนือจาก 3 ประเด็นข้างต้นแล้ว คำทำนายที่อุกอาจอื่นๆ สำหรับปีหน้าจาก Saxo ยังรวมถึงการลาออกของประธานาธิบดีฝรั่งเศส Emmanuel Macron, ญี่ปุ่นตรึงเงินเยนเป็นดอลลาร์ในอัตรา 200 เยนต่อดอลลาร์ และการจัดตั้งกองทัพสหภาพยุโรป
อย่างไรก็ตาม Jakobsen กล่าวว่า คำทำนายทั้งหมดมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นจริงเพียง 5-10% เท่านั้น ดังนั้นแค่รับฟังเป็นข้อมูลประกอบไว้ก็พอ แต่อย่ายึดถือเป็นจริงเป็นจัง โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทางธนาคารได้จัดทำ ‘คำทำนายที่อุกอาจ’ ในแต่ละปี ซึ่งมีบางคำทำนายกลายเป็นจริง หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
ตัวอย่างเช่น ในปี 2015 Saxo คาดการณ์ว่าสหราชอาณาจักรจะลงคะแนนให้ออกจากสหภาพยุโรป หลังจากพรรค United Kingdom Independence Party ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย หรือการคาดการณ์ว่าเยอรมนีจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2019 ซึ่งความเป็นจริงเยอรมนีสามารถดิ้นหลุดภาวะถดถอยมาได้อย่างฉิวเฉียด หรือกรณีที่คริปโตเคอร์เรนซีอย่าง Bitcoin ที่พุ่งทะยานอย่างแรงในปี 2017
อ้างอิง: