กลุ่มนักลงทุนที่มีซาอุดีอาระเบียอยู่เบื้องหลัง ตัดสินใจยุติการเข้าซื้อสโมสรนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด หลังจากที่เรื่องราวยืดเยื้อมานานเกินไป
หลังจากที่สามารถบรรลุข้อตกลงในการขอซื้อทีม ‘สาลิกาดง’ ต่อจาก ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของสโมสรเดิมที่ราคา 300 ล้านปอนด์ กลุ่มนักลงทุนที่ประกอบไปด้วย ‘พีไอเอฟ’ ซึ่งมาจากซาอุดีอาระเบีย, พีซีพี แคปิตอล พาร์ทเนอร์ส และพี่น้องรูเบน ได้เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติของเจ้าของสโมสรและผู้อำนวยการสโมสร
แต่การเข้าเทกโอเวอร์ครั้งนี้ถูกต่อต้านอย่างหนักจากหลายฝ่าย โดยเริ่มจากการที่ beIN Sports ยักษ์ใหญ่ในวงการสื่อกีฬาที่มีกรณีขัดแย้งอย่างรุนแรงกับทางการซาอุดีอาระเบีย ที่เชื่อว่าอยู่เบื้องหลัง ‘บีเอาต์คิว’ ที่ลักลอบนำสัญญาณการถ่ายทอดสดรายการกีฬาระดับโลกมากมาย รวมถึงฟุตบอลพรีเมียร์ลีกไปถ่ายทอดสดในซาอุดีอาระเบียโดยไม่มีการจัดการใดๆ จากภาครัฐ และส่งผลให้ beIN Sports เสียหายอย่างมหาศาลในตลาดตะวันออกกลาง ทำให้มีการเรียกร้องให้พรีเมียร์ลีกขัดขวางการเข้าซื้อกิจการของกลุ่มทุนดังกล่าว
นอกจากนี้ยังมีนักการเมืองและอีกหลายฝ่ายที่ไม่ต้องการให้กลุ่มทุนที่มีเบื้องหลังไม่ขาวสะอาดเข้ามาในวงการฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งทำให้กระบวนการตรวจสอบใช้เวลายาวนานเกือบ 4 เดือนยังไม่ทราบผล จนในที่สุดทำให้ทางด้านพีไอเอฟที่เป็นผู้ลงทุน 80 เปอร์เซ็นต์ตัดสินใจที่จะถอนข้อเสนอดังกล่าวแล้ว
ทางด้าน อแมนดา สเตฟลีย์ นักธุรกิจหญิงชาวอังกฤษ ซึ่งอยู่เบื้องหลังของกลุ่มพีซีพี พาร์ทเนอร์ส และเป็นผู้นำในการเจรจากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “มันเลวร้ายมาก เรารู้สึกผิดหวังแทนแฟนๆ และอยากจะขอบคุณแฟนๆ ซึ่งฉันอยากจะขอบคุณพวกเขาเป็นการส่วนตัวสำหรับการสนับสนุน”
ขณะที่แฟนทูนอาร์มีกลุ่ม นิวคาสเซิล ซัพพอร์ตเตอร์ ทรัสต์ ผิดหวังและเจ็บปวดอย่างยิ่งกับการที่กลุ่มทุนดังกล่าวถอนข้อเสนอออกไป “เราต้องการคำตอบจากพรีเมียร์ลีก” เนื่องจากสโมสรต้องเจ็บปวดกับเจ้าของสโมสรที่เลวร้ายอย่างแอชลีย์ตลอด 13 ปีที่ผ่านมา ข่าวการเทกโอเวอร์ทำให้แฟนๆ มีความหวังอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี การถอนตัวของกลุ่มทุนจากตะวันออกกลางเป็นการเปิดทางให้แก่ทุนจากสหรัฐอเมริกา โดย เฮนรี เมาริสส์ นักธุรกิจชาวอเมริกันให้ความสนใจในการเข้าเทกโอเวอร์นิวคาสเซิลเช่นกัน
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: