วันนี้ (15 สิงหาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความชัดเจนในการส่งผู้สมัครลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม เขต 3 จังหวัดระยองว่า ในวันพรุ่งนี้จะประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อพิจารณาการส่งผู้สมัคร ซึ่งตนในฐานะหัวหน้าพรรคที่ดูแลภาคกลางได้เสนอ นพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ ผู้สมัครเดิม ซึ่งในวันพรุ่งนี้จะตัดสินกัน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวที่ตนเองขอลง สส. ในเขตนี้เอง มีการพูดคุยกับ นพ.บัญญัติหรือไม่ สาธิตกล่าวว่า ตนไม่แน่ใจว่าข่าวนี้เกิดจากสื่อไปวิเคราะห์เองหรือไม่ แต่ในสถานการณ์นี้มีคนมาพูดว่าให้ตนไปลงสมัครด้วยเช่นกัน ซึ่งก็ต้องไปสอบถามผู้สมัครเดิมก่อน และส่วนตัวได้พูดคุยกับ นพ.บัญญัติมาโดยตลอด และหากตนจะลงสมัครเองก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องเสนอชื่อ นพ.บัญญัติ จึงไม่ควรมีคำว่าตนไปแย่ง นพ.บัญญัติลงสมัครเลือกตั้งซ่อม
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการดีลกับพรรคการเมืองอื่นเพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์ลงแข่งกับพรรคก้าวไกลเพียงสองพรรค มีความชัดเจนอย่างไรนั้น สาธิตกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน ต้องดูแต่ละพรรคว่าจะตัดสินอย่างไร ยังไม่แน่ใจว่าพรรคการเมืองอื่นจะคิดอย่างไร
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ความขัดแย้งในพรรคประชาธิปัตย์กระทบต่อการเลือกตั้งซ่อมหรือไม่ สาธิตกล่าวว่า ปัญหาความขัดแย้งมีทุกพรรคการเมือง เพียงแต่พรรคประชาธิปัตย์มีปัญหามากหน่อย อยู่ในช่วงตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมรัฐบาลและมีสองแนวคิด แนวคิดแรกคืออยากจะเข้าร่วมรัฐบาล คนที่เป็น สส. ก็อยากจะสร้างผลงาน และมีอีกแนวคิดหนึ่งที่อยากจะเป็นฝ่ายค้านเพื่อแสดงออกถึงจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน รวมถึงมีประชาชนหลายกลุ่มที่รู้สึกผิดหวังกับเรื่องการเมือง หากมีการสร้างพรรคการเมืองที่มีจุดยืนที่ชัดเจนและเป็นที่เชื่อใจได้ในอนาคต คิดว่าพรรคประชาธิปัตย์น่าจะกลับมา พรรคประชาธิปัตย์ก็จะกลับไปเป็นพรรคที่ประชาชนเชื่อถือได้อีกครั้ง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคประชาธิปัตย์อาจตกขบวนร่วมรัฐบาลหรือไม่นั้น สาธิตกล่าวว่า ตนไม่สามารถตอบได้เพราะอยู่ในวงนอก และจากการติดตามข่าวคิดว่ายังไม่นิ่ง สถานการณ์จะนิ่งก็ต่อเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ถึงแม้อำนาจตัดสินใจจะเป็นของคณะกรรมการบริหารพรรคชุดนี้ แต่ส่วนตัวมีความเห็นว่าจะขอไปฟื้นฟูพรรค ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีคุณภาพและมีจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม จะต้องเป็นไปตามมติของคณะกรรมการบริหารพรรค เพราะมีข้อบังคับที่เขียนไว้ชัดเจนว่า หากจะร่วมรัฐบาล ต้องมีการประชุมร่วมกันระหว่าง สส. และกรรมการบริหารพรรค ขั้นตอนนี้ต้องเกิดขึ้นเพื่อมาจบในกระบวนการนี้ตามกฎหมาย
