วันนี้ (16 พฤษภาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการเลือกตั้งที่พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนน้อยกว่าที่คิดว่า ต้องยอมรับเสียงของประชาชนที่กำหนดทิศทางประเทศ แต่ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์คงต้องไปพูดคุยกันว่า จะเดินหน้าทำให้เป็นพรรคการเมืองที่เป็นที่เชื่อใจของประชาชนได้อย่างไรต่อไป
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หมายความว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องไปเป็นฝ่ายค้านใช่หรือไม่ สาธิตกล่าวว่า ทั้งหมดต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนว่าจะกำหนดทิศทาง เป้าหมาย และจุดยืน ทางการเมืองอย่างไร เพราะต้องมีการถอดบทเรียนว่าจากการเลือกตั้งครั้งนี้ประชาชนมีหลายกลุ่มที่เป็นทั้งกลุ่มสวิงโหวต กลุ่มที่ไม่ได้ติดตามข่าวสาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่เราต้องสื่อสารให้เข้าถึงเขา ทั้งหมดเป็นมิติการกำหนดยุทธศาสตร์ที่จะเดินต่อไปทางการเมืองหลังจากนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ผลการเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ที่ออกมาเช่นนี้ เป็นเพราะปัญหาการจัดการภายในหรือเพราะกระแสภายนอก สาธิตกล่าวว่า ทั้งหมดมาจากทุกปัจจัย รวมถึงประชาชนรู้สึกว่าถูกกดมานาน จนทำให้อยากเปลี่ยนแปลง และถ้าย้อนกลับไปได้ก็ไม่ควรให้ประชาชนรู้สึกแบบนั้น
อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้มีความยากในการเข้าถึงกลุ่มคนที่เลือกรับข้อมูลเพียงด้านใดด้านหนึ่ง เราจึงต้องนำเรื่องนี้มาคิดและปรับแนวทางการทำงานว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนหันมาดูข้อมูลของเรา เพราะไม่ได้หมายความว่าข้อมูลที่ถูกต้องจะถูกส่งไปถึงคนที่เราต้องการสื่อสาร จึงต้องทำให้ประชาชนหันมาสนใจเสียก่อน แล้วเราค่อยนำข้อมูลที่ถูกต้องสื่อสารออกไป เพราะข้อมูลที่อยู่ในสื่อต่างๆ มีความหลากหลาย จะทำอย่างไรให้เขามาสนใจข้อมูลจากเรา เป็นโจทย์สำคัญในการทำพรรคการเมืองใหม่
“เวลาแพ้สงครามก็ต้องไปรวบรวมไพร่พลที่ยังไม่ได้หรือได้รับบาดเจ็บเอาไปรักษา และต้องรวบรวมยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่ให้ได้มากที่สุด แล้วมาตั้งหลัก จากนั้นก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา
“การทำการเมืองนั้นมีทั้งคนอยู่ข้างหน้าและข้างหลัง โดยคนที่อยู่ข้างหลังทำหน้าที่เป็นคลังสมองที่อาจไม่ต้องมีบทบาท แต่ทั้งหมดร่วมกันทำในเป้าหมายเดียวกันคือ การสร้างผลประโยชน์สูงสุดให้ประชาชน ที่จริงเราอาจทำตรงนี้อยู่แล้วแต่ประชาชนไม่เห็น หลังจากนี้ต้องทำให้เขาเห็นว่า เราเป็นสถาบันการเมืองแล้วทำประโยชน์ให้ประชาชน” สาธิตกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า คนที่จะเข้ามากอบกู้พรรคประชาธิปัตย์ด้วยการขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคจะต้องเป็น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค หรือไม่ สาธิตกล่าวว่า อภิสิทธิ์มีความเหมาะสมที่จะเข้ามากอบกู้ แต่ก็ต้องมีการพูดคุยกันภายในพรรค และตนคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่คนซึ่งเคยอยู่พรรคประชาธิปัตย์แล้วย้ายออกไปอยู่พรรคอื่นๆ ควรกลับมาร่วมกันทำให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นสถาบันทางการเมืองที่ทันสมัยและยึดหลักการอุดมการณ์
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคต้องเป็นคนรุ่นใหม่ทั้งหมดหรือไม่ สาธิตกล่าวว่า หลักการของประเทศไม่ใช่แค่ต้องมีคนรุ่นใหม่อย่างเดียว คนทุกรุ่นมีความสำคัญเหมือนกันหมด เพียงแต่เราจะสื่อสารอย่างไรให้คนที่เป็นคนรุ่นเก่ามาอยู่เบื้องหลัง เป็นคลังสมองที่มีประสบการณ์ ส่วนคนรุ่นกลางและคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดแหลมคมก็ออกมามีบทบาท แต่ถ้าปล่อยให้คนส่วนนี้ทำอย่างเดียวก็อาจเกิดข้อผิดพลาด
ดังนั้นการทำงานต้องผสานคนทุกรุ่น แล้วนำคนเหล่านี้ไปสื่อสารในรูปแบบใหม่ที่มีความชัดเจน แต่การสื่อสารกับประชาชนต้องเข้ากับบริบทนั้นด้วย ดังนั้นพรรคการเมืองต้องมีความเปลี่ยนแปลงและความยืดหยุ่น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะต้องจัดประชุมใหญ่สมัยวิสามัญเพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคเร็วแค่ไหน สาธิตกล่าวว่า ข้อบังคับพรรคกำหนดไว้ภายใน 60 วัน แต่ส่วนตัวอยากให้จัดเร็วที่สุด ก็ต้องไปคุยกันในพรรคอีกครั้ง
และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะเชิญอภิสิทธิ์มาชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคหรือไม่ สาธิตกล่าวว่า ต้องพูดคุยกับ ส.ส. และคนอื่นๆ ที่อยู่ในพรรคให้มีความชัดเจน แต่ส่วนตัวคิดว่าอภิสิทธิ์มีความเหมาะสม และตอนนี้ในพรรคไม่มีอำนาจเก่า มีแต่อำนาจเริ่มต้นนับหนึ่งที่ทำให้พรรคไปสู่การได้รับการยอมรับจากประชาชน
ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่า จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรค จะต้องลาออกจากการเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ หรือไม่ เพราะการเป็น ส.ส. มากับการเป็นหัวหน้าพรรค สาธิตกล่าวว่า “มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ตนตอบแทนไม่ได้”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีกระแสเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์เลือก พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นการปิดสวิตช์ ส.ว. ในการเลือกนายกฯ สาธิตกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นแนวทางเชิงอุดมการณ์อย่างหนึ่งของการปิดสวิตช์ ส.ว. ซึ่งเป็นเรื่องหนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์พูดมาตลอด แต่ส่วนตัวตนเป็น ส.ส. สอบตก น้ำหนักในการพูดก็น้อยลง แต่ด้วยอุดมการณ์ส่วนตัวคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์น่าจะเดินไปในแนวทางที่ทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่น และเรื่องดังกล่าวคงมีการนำไปพูดคุยกันในพรรค