วันนี้ (21 พฤษภาคม) มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) Anti-Corruption Organization of Thailand เปิดเผยว่า เหตุการณ์ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พังถล่มเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ไม่ใช่เพียงโศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตและสร้างบาดแผลแก่ประชาชน แต่ยังทำลายทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชน
และที่สำคัญที่สุดคือการทำลายความเชื่อมั่นต่อมาตรฐานความปลอดภัยและความโปร่งใสในโครงการภาครัฐทั่วประเทศ แม้จะมีการจับผู้ต้องหาถึง 17 ราย แต่สังคมยังคงกังวลว่ากระบวนการสอบสวนและจัดทำสำนวนคดีอาจไม่รัดกุมเพียงพอ ซึ่งอาจนำไปสู่การที่ผู้กระทำผิดบางราย หรือแม้แต่ทั้งหมด หลุดพ้นจากความรับผิดชอบเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
มานะย้ำว่า การเอาผิดจะต้องไม่หยุดเพียงแค่ระดับผู้รับเหมา หรือเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ แต่ต้องขยายผลไปถึงผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ ผู้อนุมัติงบประมาณ ผู้ตรวจรับงาน และผู้ที่มีบทบาทเอื้อประโยชน์จนก่อให้เกิดความเสียหาย การออกหมายจับผู้ต้องหาเพียงไม่กี่รายยังไม่อาจเรียกได้ว่าความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผย หากยังไม่มีใครกล้าตั้งคำถามถึงตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง
รวมถึงความไม่ชัดเจนในการแบ่งหน้าที่สืบค้นข้อมูลของหน่วยงานราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจ, DSI, กรมโยธาธิการ, กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ ACT จึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยแต่งตั้งตัวแทนรัฐบาลที่มีอำนาจหน้าที่ชัดเจนในการประสานงาน รวบรวมข้อมูลจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมเปิดเผยความคืบหน้าการสอบสวนต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนติดตามได้ตลอดเวลา เปิดโปงผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง และเร่งรัดกระบวนการดำเนินคดีต่อผู้เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด
นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ประกาศมาตรการป้องกันที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ซ้ำอีกในอนาคต พร้อมดำเนินการตรวจสอบโครงการก่อสร้างภาครัฐทั้งหมดอย่างเข้มข้น และลงโทษผู้ที่ละเลยความปลอดภัยอย่างไม่ละเว้น
รัฐบาลยังต้องจับตัวนายทุนต่างชาติที่ยังหาตัวไม่เจอให้ได้ เพราะเป็นตัวเชื่อมต่อกับผู้บงการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง โดย DSI และ ปปง. สามารถใช้อำนาจตามกฎหมายฟอกเงินตรวจสอบเส้นทางการเงินของนายทุนจีนคนนี้ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาได้ว่าเกี่ยวข้องกับใครบ้าง และกรมสรรพากรสามารถช่วยตรวจสอบการเสียภาษีเงินได้บุคคลของผู้ต้องสงสัยได้อีกด้วย
มานะยืนยันว่า หากรัฐบาลยังเพิกเฉย ไม่แสดงความคืบหน้า ไม่เปิดเผยข้อมูล และไม่ดำเนินคดีต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง องค์กรฯ จะร่วมกับภาคประชาชนดำเนินการเปิดเผยข้อมูลที่มีอยู่ต่อสาธารณชน และยกระดับการผลักดันในทุกมิติ เพื่อให้ความจริงปรากฏ และคนผิดต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ บริษัทเอกชน หรือผู้มีอิทธิพลใดๆ เพราะความเงียบเท่ากับการสมรู้ร่วมคิด และการไม่ยืนหยัดเพื่อความจริงคือการทรยศต่อประชาชน
ประธาน ACT ยังเผยแพร่บทความ ‘สังคมไทยได้เห็นอะไรหลังตึก สตง. ถล่ม’ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1122701796564299&set=a.301962278638259 เพื่อทบทวนว่าเหตุน่าเศร้านี้ทำให้สังคมไทย ‘ตาสว่าง’ มากขึ้นหลายประการ โดยเฉพาะคอร์รัปชันในงานก่อสร้างภาครัฐที่นำมาสู่วิกฤตศรัทธาในวงการก่อสร้างไทยเกี่ยวกับจรรยาบรรณวิชาชีพทั้งวิศวกรและสถาปนิก รวมถึงความเหมาะสมของการใช้เงินแผ่นดินและอำนาจขององค์กรอิสระ บทความระบุว่า สาเหตุที่ตึก สตง. ถล่มเป็นไปได้ทั้งคอร์รัปชันบวกความชุ่ยของคนรวมกัน แต่แน่นอนว่าประชาชนเชื่อว่าเรื่องนี้มาจากการคอร์รัปชัน และคอร์รัปชันในภาครัฐมักมีนักการเมือง และข้าราชการเกี่ยวข้องด้วยเสมอ
“น่าเสียดายที่ท่านนายกฯ พลาดโอกาสแสดงศักยภาพผู้นำเมื่อเกิดสถานการณ์วิกฤต ไม่ประกาศความรับผิดชอบต่อทุกข์สุขประชาชน ไม่แสดงถึงความมุ่งมั่นในนามรัฐบาลว่าจะดำเนินการอย่างไร ทิศทางการสืบสวนสอบสวน กำหนดบุคคลและหน่วยงานรับผิดชอบ กรอบเวลาที่ชัดเจน ลำดับความเร่งด่วนแต่ละประเด็นก่อนนำไปสู่การดำเนินคดี” มานะกล่าวทิ้งท้าย