หลังจากรอมานาน ที่สุด Samui Song ไม่มีสมุยสำหรับเธอ หนังเรื่องใหม่ของ ต้อม-เป็นเอก รัตนเรือง เข้าฉายวันแรกไปแล้ว (1 กุมภาพันธ์) ซึ่งยืนยันให้ว่าดูสนุก และตัวละครในหนังต้อมยังคงความน่าสนใจ ส่วนถ้าใครกำลัง ‘หวาดหวั่น’ ว่ารสชาติหนังเป็นเอกจะดูง่ายหรือดูยาก? ตกลงต้องพกยาพาราฯ เข้าโรงไปด้วยหรือเปล่า?
งานนี้เพื่อความสบายใจ THE STANDARD จะคุยอุ่นเครื่องเฉพาะเรื่องหนังกับ เป็นเอก ถอดมันทุกรหัสถึงที่มาและที่ไป ตกลง พลอย เฌอมาลย์ จะฆ่าใคร? หนังเกี่ยวอะไรกับลัทธิประหลาด? ไม่มีสมุยสำหรับเธอ แล้วมีสมุยสำหรับใคร?
อ่านทุกอย่างที่ควรรู้ ก่อนตัดสินใจเข้าโรงไปดู Samui Song
1.
ฟิล์มนัวร์ + ความขี้เสือก + ตลกร้าย = สมุยซอง
“ฟิล์มนัวร์เป็นหนังประเภทที่เราชอบ ความจริงมันมาจากหนังโลว์บัดเจ็ด สมัยก่อนหนังฮอลลีวูดเป็นงานสตูดิโอยิ่งใหญ่ ฉากมันสร้างหมดทุกฉาก ฉากเอาต์ดอร์ ฉากตึก ฉากในบ้าน
“ฟิล์มนัวร์เลยเกิดมาจากกลุ่มคนอินดี้ในยุคนั้นที่อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาคว้ากล้องตัวหนึ่ง ขาตั้งก็ไม่มี สร้างเรื่องแล้วออกไปซัดกันตามโลเคชันจริง ใต้สะพาน ซอกตึก ฯลฯ เพราะฉะนั้นมันเลยเป็นพล็อตที่มักจะเอาเรื่องดิบๆ ดาร์กๆ ของมนุษย์ออกมาพูด คำว่า ‘นัวร์’ ที่แปลว่า ‘ดำ’ มันเกิดมาจากตรงนั้น แล้วมันเป็นหนังประเภทที่ทำได้ง่าย ราคาไม่สูงมาก วิธีการไม่ต้องสูงมาก
“โดยเฉพาะกับ Samui Song มันเริ่มต้นมาจากภาพที่เราไปเห็นดาราไทยคนหนึ่งกับสามีฝรั่งซึ่งดูดีมาก สองคนนี้เขาเดินซื้อกับข้าวอยู่ในวิลล่ามาร์เก็ตแถวสุขุมวิท พอเห็นภาพแบบนั้น เรามองมันเป็นซับเจกต์แบบฟิล์มนัวร์ ข้างหลังภาพนั้นมันต้องไม่สวยแน่ๆ มันต้องดาร์ก หัวสมองเรามันทำงานแบบนั้น แล้วหนังประเภทฟิล์มนัวร์มันมีคุณสมบัติอีกอย่าง คือมีไอ้ความรู้สึกแบบชีวิตในบ้าน เมียฆ่าผัว ผัวฆ่าเมีย มีความอิจฉาริษยา เช่น เมียต้องการฆ่าผัว เพราะหวังจะเอาประกันชีวิต ไอ้ผัวรู้ทัน แอบไปซ้อนแผนเอาไว้ก่อนโดยที่เมียไม่รู้ ซึ่งเหมาะกับซับเจกต์ที่เรามีอยู่ในมือ
“เราเป็นคนประเภทชอบเสือก เขามาช้อปปิ้งก็อยากดูว่าเขาซื้ออะไร ไปนั่งกินข้าวก็ชอบฟังโต๊ะข้างๆ ว่ามันคุยอะไรกัน ไม่รู้ทำไม บางเรื่องพอได้ยินมันจะเริ่มสนใจ แล้วบางทีก็คันชิบหาย อยากจะแจมชิบหายเลย เพราะแม่งเป็นเรื่องที่ไอ้เหี้ย กูไม่เห็นด้วยกับมึง คันปากอยากแจมมาก”
2.
เจ้าลัทธิ + เซ็กซ์เสื่อม + ฆาตกรรม = เหยื่อ?
“เรื่องลัทธิประหลาดมันตามมาทีหลัง พอเขียนบทเรื่องของไอ้ผัวเมียคู่นี้ไปถึงจุดที่เรียกว่าชีวิตมันแย่พอสมควร แล้วระหว่างที่เขียนบทเนี่ย นั่งกินกาแฟ เดินขึ้นรถไฟฟ้า ชีวิตเรามันจะคิดวนเวียนอยู่แต่กับไอ้บทที่เขียนอยู่
“ระหว่างนั้นที่เราพยายามจะหาเหตุการณ์หรืออะไรสักอย่างที่มาทำให้ที่ชีวิตแย่ๆ ของผู้หญิงคนนี้ที่ถูกโดนรุมกระทำโดยผู้ชาย มันไปถึงจุดที่ต้องใช้การฆาตกรรมเพื่อแก้ปัญหา โดยที่คนดูก็เชื่อตามเราไปได้ด้วย เรื่องแอบไปมีชู้ก็ยังไม่ใช่ สิ่งโน้นสิ่งนี้แต่ก็ยังไม่ใช่ แล้วถึงเวลาจะเจอก็ฟลุกมากเลย อยู่ๆ ก็ได้ยินจากวิทยุหรืออ่านหนังสือพิมพ์นี่แหละ แต่เป็นเรื่องของพระรูปหนึ่งโดนจับสึกเพราะไปทำไม่ดีเรื่องเงินหรือเรื่องผู้หญิง อะไรทำนองนี้
“คือพระไทยมีอยู่แค่สองเรื่องนี่แหละ ถ้าไม่ผู้หญิงก็เงินที่จะทำให้ถูกจับสึก แต่เพราะความที่พระรูปนี้มีคนนับถือเยอะมาก สานุศิษย์เยอะ แล้วที่แม่งแปลกคือพวกที่เลื่อมใสศรัทธาส่วนมากจะเป็นผู้หญิง
“สุดท้ายพระรูปนี้ถูกตัดสินว่าผิดแล้วถูกจับสึก แต่แทนที่ถูกจับสึกแล้วจะกลับไปใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดาอย่างพวกเรา ไม่เว้ย เขาไปตั้งลัทธิใหม่ คือจีวรแม่งเปลี่ยนสีไปเลย ไม่ได้ใช้สีส้ม เรายังอำกับเพื่อนอยู่เลยว่า ไอ้เหี้ย ถ้าเป็นกูจะทำจีวรเป็นลายพรางทหาร แล้วเชื่อไหม พอพระรูปนี้ไปตั้งลัทธิใหม่ คนแม่งตามไปเพียบเลย
“มันมีข่าวนี้อยู่ แล้วข่าวนี้มันเข้ามาในจังหวะที่พอดี เราอ๋อเลย ไอ้เหี้ย ถ้าเกิดผัวฝรั่งมันไปเป็นสานุศิษย์หรือไปเลื่อมใสไอ้ลัทธินี้ เราก็เลยแต่งเรื่องต่อจากนั้น…คือบทที่เราเขียนไว้ดาราผู้หญิงคนนี้กับผัวฝรั่งมันมีปัญหากันเรื่องเซ็กซ์นะ แล้วไอ้เจ้าลัทธินี้ที่คนมันมาเลื่อมใสศรัทธา สานุศิษย์ส่วนใหญ่ก็ผู้หญิงทั้งนั้น ฉะนั้นมันก็มีเหตุผลเหมือนกันที่สามีของ พลอย เฌอมาลย์ ในเรื่องนี้มันจะไปเลื่อมใสศรัทธาเพราะไอ้เจ้าลัทธิคนนี้ เรื่องเซ็กซ์แม่งดูเจ๋งอะ (ยิ้ม) เหมือนอาจจะช่วยแก้ปัญหาให้กูได้ พอมองเห็นว่าเหตุผลมันน่าจะไปด้วยกันได้ เรื่องลัทธิประหลาดมันก็เลยเข้ามาอยู่ในสคริปต์”
3.
กลัวคนไม่ไปดู + กลัวหนังไม่ได้เงิน + กลัวคนไม่เข้าใจหนัง = หนังทำเงินมันคือความลับดำมืด
“หนังเราทุกเรื่องเวลาจะเข้าโรง มันมีความกลัวไม่ได้เงินทั้งนั้นแหละ คือเราไม่ได้ต้องการเงิน 100 ล้านนะ แต่แบบ คือตัวเงินในบ็อกซ์ออฟฟิศเนี่ยมันเป็นการบอกถึงจำนวนคนที่เข้ามาปะทะกับหนัง เราอยากให้คนเสพ อยากให้คนมาเห็นมันเยอะๆ ฉะนั้นพอเราทำหนังเสร็จทุกเรื่องมันจะมีความกลัว
แล้วเวลาหนังมันได้เงิน สำหรับเรามันเป็นความลับดำมืดมาก เราไม่รู้ว่ามันได้เงินเพราะอะไร พี่มาก..พระโขนง (2556) ได้พันล้าน มันได้เพราะอะไรวะ คือทางหนังมันมีสิทธิ์จะฮิตนะ มันเป็นหนัง GTH ทุกคนดูหนังจบก็คิดว่ามันคงได้ร้อยล้าน หรือสองร้อยล้าน แต่ไม่มีใครคิดว่ามันจะได้พันล้าน
“หนัง สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่า…รัก (2553) พอเข้าโรงฉาย หนังแม่งได้เงินจำนวนใช้ได้เลยนะ แม่งเป็นความลับดำมืดมากว่ามันได้เงินเพราะอะไร หรือ ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้ (2557) แม่งได้เงินเยอะมากนะ เปิดตัววันแรกขยับที 6 ล้าน เข้าวันที่สองตัวเลขขึ้นปั่บ ปั่บ ปั่บ ทีหนังของกูนะ ไอ้การขยับของตัวเลขทำไมมันช่างเรียลิสติกจังเลย กว่าจะขยับไป 3 แสนนี่แบบ…ทำไมมันจริงจังวะ ทำไมของคนอื่นมันดูฝันจังวะ (ยิ้ม) เพราะฉะนั้นมันก็เลยมีความกลัวไง
“สิ่งที่เราอิจฉาผู้กำกับแบบโต้ง (บรรจง ปิสัญธนะกูล ผู้กำกับ พี่มาก..พระโขนง) ผู้กำกับแบบ ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้ ผู้กำกับแบบ ลัดดาแลนด์ (2554) เราไม่ได้อิจฉาเรื่องรายได้ของหนังเลยนะ แต่เราอิจฉาที่คนจำนวนเยอะๆ ได้เสพหนังของเขา ได้ปะทะกับหนังของเขา เพราะภาพยนตร์มันจะคอมพลีตได้ เมื่อมันถูกคิดออกมาเป็นไอเดีย ถูกไฟแนนซ์ ถูกนำไปถ่ายทำ ถูกตัดต่อ ถูกอะไรต่อมิอะไร แล้วแม่งต้องถูกเสพ มันถึงจะครบวงจรการเป็นภาพยนตร์ ทีนี้พอมันถูกเสพน้อย มันเลยเหมือนว่าไม่ได้คอมพลีตจริงๆ (เน้นเสียง) นึกออกมะ
เกี่ยวไหมว่าอยู่ที่วิธีการ หนังของเป็นเอกค่อนข้างจะเป็นส่วนตัวมาก เมื่อเทียบกับหนังทำเงินแบบ GTH หรือ GDH ที่กว่าจะปล่อยออกมาสู่กระบวนการถ่ายทำได้ บางทีพัฒนาบทกันเป็นสิบรอบ ใช้เวลากันหลายปี
“ของเราก็ 10-20 ร่างนะ (คิด) แต่เราจะไปพูดว่ามันเป็นความลับดำมืดก็ไม่ถูก เพราะถ้าเราทำได้ตามระบบทั้งกระบวนการแบบ GTH หนังเรามันก็คงมีสิทธิ์ แต่ว่าเราไม่ได้ทำตามกระบวนการที่ถูกต้องแบบนั้น ของเขามันต้องคิดก่อนว่าจะสื่ออะไรกับคนดู เมื่อคิดได้ว่าจะสื่ออะไร เขาก็คิดไอเดียออกมาแล้วเขียนเป็นบท คัดเลือกนักแสดง การตัดต่อ ตัดต่อเสร็จต้องไปเทสต์กับคนดูกลุ่มเทสต์ก่อนว่ามีใครงงไหม หรือมุกที่คิดว่าจะฮาปลิ้นเสือกไม่มีใครหัวเราะ เขามีการรีชูต คือทุกอย่างมันมีโจทย์ให้ตอบตลอดทาง คุณอยู่กับระบบแบบนี้ได้ คุณตอบโจทย์เหล่านี้ได้ทุกขั้นตอน หนังมันก็ต้องสำเร็จแหละ
“แต่หนังของเราแค่เริ่มต้นก็ไม่มีโจทย์แล้ว โจทย์ก็ไม่มีให้ตอบ ระหว่างทางก็ทำดุ่ยๆคลำๆ ไป แล้วยังมีความคิดว่าคนดูน่าจะเอ็นจอยกับหนังแบบนี้ คือหนังที่จบแบบไม่สรุปอะไรให้กับใคร คิดเอง มานั่งแชร์ประสบการณ์นี้กันสนุกๆ คือเราคิดว่าคนดูจะเอ็นจอยสิ่งนั้น แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นเวลาหนังจะเข้าโรงมันเลยมีความกังวล
“อีกอย่างคือเวลาเขียนบท ถ่ายทำ หรือเวลาตัดต่อ หนังมันยังอยู่ในการควบคุมของเราบ้าง อาจจะไม่ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันยังเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ แต่การเอาหนังเข้าโรงเนี่ย พอปล่อยมือปั๊บ นาฬิกาเดิน เข้าฉายวันแรก รอบแรก เราควบคุมอะไรไม่ได้เลยนะ มันอยู่ที่คนเขาจะดูหรือไม่ดูเลย นึกออกไหม น้ำท่วมคนก็ไม่ออกจากบ้านแล้ว อากาศดีคนก็ไปเที่ยวต่างจังหวัดหมดแล้ว (หัวเราะ) คือควบคุมอะไรไม่ได้เลย
“หรือบางทีมีความตั้งใจจะไปดูหนังเราเลยนะ กำเงินไว้ในมือแล้วนะ เดินไปถึงหน้าโรงหนังปั๊บ แม่งเจอ แฮร์รี่ พอตเตอร์ เจอหนังมาร์เวลเข้าไป ไอ้เหี้ยเอ๊ย มาร์เวลก่อนแล้วกันวะ หนังพี่เขาเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาดู แล้วพอถึงพรุ่งนี้แม่งก็ไม่ว่าง
“แล้วหนังเรื่องนี้ทุกคนยืนยันว่ามันดูสนุกไง เราเลยยิ่งมีความกังวลมากว่าถ้ามันสนุกแล้ว เพี้ยง! ขอให้คนมาดูเยอะๆ เถอะ ความกังวัลก็เลยเยอะขึ้น แล้วเราก็ไปเอาเงินนายทุนเขามา ซึ่งเราก็อยากจะคืนเขาให้ได้ด้วย
“ที่ผ่านมาเราทำหนังกับ ไฟว์สตาร์ มันเป็นเงินสตูดิโอที่เขามีวิธีจัดการกับมัน แต่เรื่องนี้มันเป็นเงินนักธุรกิจที่เขาไม่เคยมายุ่งเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้เลย เขามาเพราะอยากช่วยเรา มันก็เลยมีความกังวลเพิ่มขึ้นไปอีกว่าอยากจะรีเทิร์นเงินของเขากลับมาให้ได้
หนังเรื่องล่าสุดเข้าโรงไปแล้ว ตอนนี้คุณกลัวอะไรที่สุด
“ก็กลัวคนมันไม่ลุกไปดู ตั้งแต่ทำหนังมาเนี่ย หนังเราทุกเรื่องไม่เคยมีเรื่องไหนที่ก่อนจะเข้าโรงแล้วเงียบนะ คือมันจะมีหนังไทยประเภทที่พอพูดชื่อขึ้นมาว่ากำลังจะเข้าโรงแล้วรู้สึกว่า เหี้ย มันมีหนังเรื่องนี้บนโลกด้วยเหรอวะ ทำไมกูไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน แต่ที่ผ่านมาหนังเราไม่เคยเป็นแบบนั้นนะ ไม่ว่าใครจะบอกว่ามันอินดี้แค่ไหน ดูยากแค่ไหนก็ตาม แต่เมื่อมันจะเข้าโรงฉายในเมืองไทยก็จะมีกระแสทุกครั้ง แต่รายได้ไม่เคยเวิร์กเลย
“นั่นแสดงว่าไอ้กระแสต่างๆ ที่มี กับการขยับตูดกำเงินแล้วเดินไปซื้อตั๋วที่โรงหนังมันไม่เกี่ยวกัน โอ้ย ฝนตกขึ้นฟ้า (2554) นี่กระแสโคตรดีเลยนะ แต่เสร็จแล้ว…ไอ้เหี้ย ได้เงิน 3 ล้าน โอเคมึงอาจจะปลอบใจตัวเองได้ว่าตอนนั้นเมืองไทยมีน้ำท่วมใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นมันยังมีความกังวลว่าคนจะไม่ลุกออกไปดู
“อย่างที่รู้กันว่าภาพยนตร์ที่เข้าโรงฉาย ถ้าสัปดาห์แรกคนแม่งไม่ไปดูกันในจำนวนที่มากพอจะเป็นที่พึงพอใจของโรงหนัง อาทิตย์ต่อไปแม่งเหลือรอบแบบ…11 โมงเช้า รอบ 5 ทุ่ม (หัวเราะ) รู้ตัวอีกทีคือตอนมีคนบอก เฮ้ย ได้ยินมาว่าหนังเรื่องนี้แม่งดีมากเลย แต่ดูไม่ทันพี่ พอผมจะไปดูปั๊บ แม่งออกจากโรงไปแล้ว มีคนมาบอกแบบนี้กับเราทุกเรื่อง ทำหนังมา 20 ปี มันเป็นข้อแม้ที่เราเอาชนะไม่ได้สักที
“โอเคตอน มนต์รักทรานซิสเตอร์ (2544) เอาชนะมาได้หน่อย ไม่น่าเกลียด หรือตอนเรื่อง พลอย (2550) ก็เอาชนะได้หน่อย ไม่น่าเกลียด แต่นอกจากนั้นไม่เคยเอาชนะข้อแม้นี้ได้เลยว่า ต้องทำยังไงวะ ให้คนแม่งลุกไปดู ชื่อเสียงเรามีไหม ‘มีคนรู้จัก’ หนังของเราแต่ละเรื่องก่อนเข้าโรงมีชื่อเสียงไหม ‘มี’ หนังมีกระแสไหม ‘มี’ มีดารามาโปรโมตหนังไหม ‘มี’ สรุปว่าหนังมันมีปัจจัยทุกอย่างหมดเลย แต่คนแม่งขยับตัวช้ามาก แต่ทำไม ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้ มึงขยับกันเร็วนักวะ (หัวเราะ)
“อือ…มันเป็นความกังวลอะ เป็นความกังวล”
‘ฟิล์มนัวร์’ เป็นชื่อเรียกแนวทางด้านภาพยนตร์ประเภทหนึ่ง คำว่า ‘Noir’ เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า มืด หรือดำ ซึ่งก็ตรงกับสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อสาร นั่นคือแทบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นใน ‘ฟิล์มนัวร์’ มักจะเกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรม ฆาตกรรม กิเลสตัณหา ความโลภ การแย่งชิง หักหลัง และ ‘ผู้หญิง’ (ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทางเพศ) มักจะเป็นตัวดำเนินเรื่องหลัก ซึ่งทั้งหมดสะท้อนถึงด้านมืดของความเป็นมนุษย์
แต่ในเวลาเดียวกัน เสน่ห์ของหนังฟิล์มนัวร์หลายต่อหลายเรื่องจะทำผู้ชมรู้สึกว่าตัวละครที่กำลังติดตาม ไม่มีใครดีหรือเลวไปเสียหมด ทุกคนล้วนแล้วแต่มีมุมของด้านสะอาดและด้านที่สกปรกในจิตใจด้วยกันทั้งนั้น
ลักษณะเด่นอีกอย่างที่ถือเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวคือการเล่าเรื่องด้านภาพ เหตุการณ์ส่วนใหญ่ในเรื่องมักจะเกิดในเวลากลางคืน การจัดแสงที่ให้อารมณ์ขาว-ดำ มืดทึบ มุมมองของภาพมักอยู่ในที่แคบ ชวนอึดอัด หรือการเฝ้ามองที่มักจะสะท้อนผ่านวัตถุ หรือเต็มไปด้วยม่านหมอก…
ฟิล์มนัวร์รุ่งเรืองสุดขีดในช่วงทศวรรษ 1940-1950 แต่ขณะเดียวกัน มันก็ถูกสร้างออกมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน หนังดังในโลกฟิล์มนัวร์อย่าง Rebecca (1940), Citizen Kane (1941), The Third Man (1941), The Big Sleep (1946), Chinatown (1974), Body Heat (1981), L.A. Confidential (1997), Memento (2000), Sin City (2005) และหนังชั้นดีอีกหลายเรื่องสองพี่น้องโจเอลกับอีธาน ‘โคเอน’ อย่าง Fargo (1996), The Man Who Wasn”t There (2001), Blood Simple (1984)
หลายปีก่อนในช่วงโปรโมตหนังเรื่อง ฝนตกขึ้นฟ้า เป็นเอกเคยเล่าให้ฟังถึงความรู้สึกที่เขามีต่อหนังฟิล์มนัวร์ว่า
“หนังประเภทนี้ ถ้าเป็นเรื่องที่เราชอบๆ เนี่ย มันมักเป็นเรื่องที่เวลาดูจบแล้ว เราจะไม่เห็นว่าใครเป็นคนเลวจริงหรือดีจริง พระเอกมันก็ไม่ได้ดีจริง แต่มันก็ไม่ได้ชั่ว ไอ้ผู้ร้ายมันก็มีเหตุผลว่าทำไมมันถึงทำชั่วๆ คือถ้าเราเป็นมัน เราอาจจะทำเหมือนมันก็ได้ มันไม่ใช่หนังแบบที่มีคนเลว-คนดีแบบขาวดำชัดเจน
“มันทำชั่วก็เพราะว่ามันต้องทำ มันถูกบีบให้ต้องทำออกมา ส่วนความดีเนี่ยไม่ต้องพูดถึงหรอก เพราะคนเราถ้าใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร มันก็สามารถทำความดีได้ไม่ยาก แต่พอถึงเวลาคับขันหรือมีอะไรมาบีบคั้น ตรงนี้แหละที่มันจะพิสูจน์ว่ามึงเป็นคนดีจริงหรือเปล่า”